นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าลงทุนในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพื่อผลักดันให้เป็นฐานการผลิตสำคัญในอนาคต เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นกว่า 7-8% ต่อปี บริษัทจึงตั้งเป้ายอดขายเม็ดพลาสติกภายในปีนี้อยู่ที่ 125,000 ตัน คิดเป็น 10% ของยอดขายรวมบริษัท
“โดยเฉพาะไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขายจากเม็ดพลาสติกอยู่ที่ 41,142 ตัน หรือคิดเป็น 33% ของเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ทั้งปียอดขายเม็ดพลาสติกมีโอกาสสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากแผนดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มองตลาดซีแอลเอ็มวีเป็นตลาดที่ผู้ผลิตไทยได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะเป็นตลาดเพื่อนบ้าน รวมทั้งอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก เป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมหลายประเภท ที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อ.แม่สอด แล้ว เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกส่งตามประเทศเพื่อนบ้าน”
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้บริษัทเตรียมเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อชี้แจงข้อมูลชักชวนผู้ประกอบการมาลงทุนในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เพิ่มเติม หลังจากปีที่ผ่านมาได้ไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งมีนักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 17 บริษัทให้ความสนใจลงทุน แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมาข้อมูลต่างๆ ของอีอีซี เช่น สิทธิประโยชน์ พื้นที่ต่างๆ ยังไม่ชัดเจน ทางนักลงทุนจึงยังไม่ตัดสินใจ ดังนั้นการเดินทางไปครั้งนี้ จะนำสิทธิประโยชน์ และรายละเอียดที่ชัดเจนทั้งหมดไปชี้แจงอีกครั้ง เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนในพื้นที่อีอีซี ทั้งสิ้น 150,000 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี (2560-64) เน้นการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยดึงนักลงทุนจากต่างประเทศที่มีนวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาลงทุนในพื้นที่ จะช่วยตอบโจทย์เป้าหมายของรัฐบาล
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2560 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิรวม 13,182 ล้านบาท คิดเป็น 2.96 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาส 4/2559 ที่มีผลกำไรสุทธิ 9,744 ล้านบาท เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวมจากการขาย 107,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 26,385 ล้านบาท
