นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 มี.ค.นี้ เพื่อพิจารณาเห็นชอบกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกันตามพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ฉบับใหม่ โดยปรับลดวงเงินการวางมัดจำการเริ่มต้นประกอบธุรกิจท่องเที่ยวลง 70% ตามลักษณะของธุรกิจประเภทต่างๆ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวคลายความเดือดร้อน และมีเงินกลับไปใช้ได้บางส่วน แม้ว่าจะเป็นเงินไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นการช่วยเหลือกันในช่วงนี้ หลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางทั้งหมด

ทั้งนี้ กฎกระทรวงฉบับเดิมจะยกเลิกไป เพราะตอนนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็เห็นใจผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว โดยลดเงินวางประกันที่เคยวางไว้ตอนจะทำธุรกิจ และขอใบอนุญาตจากกรมการท่องเที่ยว ลงไป 70% โดยกรมการท่องเที่ยวจะเก็บเงินไว้ 30% ของเงินที่เคยมาวางไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวรายเล็กๆ ได้บ้าง และจากนี้เมื่อเสนอครม.เห็นชอบแล้ว ก็ต้องประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาก่อน จากนั้นจึงมีผลใช้บังคับ ซึ่งเมื่อกฎหมายใหม่ออกมาแล้ว กรมการท่องเที่ยวจะรีบคืนเงินให้ผู้ประกอบธุรกิจโดยเร็วที่สุด

ประกาศฉบับเดิม ซึ่งประกาศไว้เมื่อปี 2555 ได้กำหนดประเภทของผู้ที่จะต้องมาวางเงินหลักประกันออกเป็น 4 กลุ่ม คือ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเกทเฉพาะพื้นที่ ต้องวางหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 1 หมื่นบาท , การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทภายในประเทศ ต้องวางหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 5 หมื่นบาท , การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทนำเที่ยวจากต่างประเทศ ต้องวางหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท และการประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภททั่วไป ต้องวางหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท

ส่วนประกาศฉบับใหม่ที่ออกมา กำหนดวงเงินใหม่ โดยคิดแค่ 30% จากวงเงินเดิมเท่านั้น โดยต่ำสุดจะเก็บเพียง 3,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 6 หมื่นบาท โดยการลดเก็บเงินครั้งนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหา เพราะเงินก้อนนี้เดิมมีกองอยู่ประมาณ 1,414 ล้านบาท และเมื่อมีการปรับลดลงก็น่าจะหายไปประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยเหลือเอกชนได้หลายราย ในช่วงที่ตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องหายไปมากถึง 99%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน