นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการในเดือนมี.ค. 2563 นี้ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจในรอบ 21 ปี 6 เดือน โดยลดลงอย่างมากจากระดับ 64.8 เป็น 50.3

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมเดือนมี.ค. อยู่ที่ 41.6 ลดลงจากเดือนก.พ. 2563 ที่อยู่ในระดับ 52.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวจากการปิดกับโอกาสหางานทำเท่ากับ 49.3 จาก 61.4 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเท่ากับ 59.9 จาก 80.4

การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอยจากวิกฤต โควิด-19 ทั่วโลก

ส่วนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงอย่างมาก จากระดับ 42.7 ในเดือนก.พ. มาอยู่ที่ระดับ 33.6 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 249 เดือนหรือ 20 ปี 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2542 เป็นต้นมาแสดงว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ดีอย่างมากในมุมมองของผู้บริโภค ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 74.3 มาอยู่ที่ระดับ 58.2 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจ 21 ปี 6 เดือน สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นอย่างมากเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงของดัชนีทุกรายการต่อเนื่องและปรับตัวลดลงอย่างมากจนทุกรายการในเดือนนี้

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมยังปรับตัวลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจ 21 ปี 6 เดือน และคาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะยังคงปรับตัวลดลต่อเนื่องต่อไปในอนาคตจนกว่าสถานการณ์ โควิด-19 จะคลายตัวลง ดังนั้นคาดว่าผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่ายอย่างมากไปอย่างน้อย 3-6 เดือนนับจากนี้เป็นต้นไป

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยลบที่มีผลต่อ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคคือ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น, รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อบริหารจัดการและควบคุมโควิด-19 ประกอบกับการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ ทำให้เกิดการปิดกิจการ ยกเลิกการจ้างงาน มีแรงงานตกงาน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 2563 เป็น -5.3% จากเดิมคาดจะขยายตัว 2.8% และหากสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้รุนแรงเหมือนกรณีอิตาลีเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงไปอีก แต่ก็คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ 3% ในปี 2564

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรและการหารายได้ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ, การส่งออกของไทยเดือนก.พ. ลดลง 8.24% นำเข้าลดลง 4.30% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล, ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ยางพารา และมันสำปะหลัง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรโดยส่วนใหญ่ยังทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อทั่วไปในต่างจังหวัดขยายตัวไม่มากนัก

“การระบาดของโควิด-19 ทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกอย่างน้อย 1-1.5 ล้านล้านบาท เนื่องจากปกติคนไทยจะมีการบริโภควันละประมาณ 20,000 ล้านบาท การทำงานที่บ้าน เว้นระยะห่างทางสังคม ไม่สามารถเดินทางไปมาได้ง่าย น่าจะทำให้กำลังซื้อคนไทยทั้งประเทศหายไปอย่างน้อยวันละ 5,000 ล้านบาท บวกกับการล็อกดาวน์ประเทศ นักท่องเที่ยวไตรมาสแรกหายไปกว่า 40% เกือบกว่า 4 ล้านคน จากปกติ 10 ล้านคน เหลือเพียงกว่า 6 ล้านคน และไตรมาส 2 ประเทศไทยเริ่มล็อกดาวน์แล้ว นักท่องเที่ยวจึงไม่น่าจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากนัก จากปกติเข้ามาท่องเที่ยว 9 ล้านคน สถานการณ์นี้ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด คือ หายไปกว่า 8 ล้านคน รวมแล้วครึ่งแรกปีนี้นักท่องเที่ยวหายไป 12-13 ล้านคน ซึ่งปกติใช้เงินคนละ 45,000-50,000 บาทต่อคน ส่งผลให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวหายไปประมาณ 600,000 บาทเป็นอย่างน้อย บวกกับการท่องเที่ยวในประเทศเม็ดเงินจะหายไปอีกกว่า 100,000 ล้านบาท รวมเม็ดเงินหายไปกว่า 700,000 ล้านบาท บวกกับการบริโภคในประเทศที่หายไปด้วยวันละ 5,000 ล้านบาท หรือเดือนละ 150,000 ล้านบาท ทำให้ช่วง 2-3 เดือนเม็ดเงินหายไปประมาณกว่า 300,000 ล้านบาท รวมแล้วครึ่งปีแรกเม็ดเงินจะหายจากอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท รวมถึงการค้าชายแดนที่ลดลงไปด้วย” นายธนวรรธน์ กล่าว

ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ กนง. มีมติ 4:2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามเดิม หลังจากเพิ่งปรับลดลง 0.25% เมื่อการประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยมีแนวโน้มชะลอตัวแรงจากปีก่อน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบ แต่ระบบการเงินโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ซึ่งตลาดการเงินได้เริ่มกลับมาทำงานปกติ, รัฐบาลดำเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน