นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กล่าวว่า เตรียมผลักดันแผนงานตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ให้ทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เร่งปรับปรุงพัฒนาระบบงานไปรษณีย์ นำระบบไอทีมาใช้ในการให้บริการ งานรับฝาก งานคัดแยก งานส่งต่อ งานนำจ่าย เพื่อปรับตัวรองรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และเดินหน้าไปสู่การเป็นไปรษณีย์ไทย 4.0 ภายในปี 2562 สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0
โดยโครงการติดตั้งเน็ตประชารัฐ ตามเป้าหมายปีนี้จำนวน 24,700 หมู่บ้าน สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตอลมาสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ในการนำสินค้าและบริการของชุมชนมาซื้อขายบนร้านค้าออนไลน์ ซึ่งไปรษณีย์ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ด้วยการอาศัยศักยภาพของไปรษณีย์ไทยที่มีเครือข่ายสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 5,000 แห่ง มีเครือข่ายคนไปรษณีย์ทั่วประเทศกว่า 30,000 คน มีเครือข่ายเส้นทางการขนส่งไปรษณีย์ มากกว่า 400 เส้นทาง เพื่อให้เป็นเครื่องมือช่วยประชาชน ชุมชน ศูนย์ดิจิตอลชุมชนและร้านโชห่วย ใช้ในการบริหารจัดการการขายสินค้าในอนาคตเมื่อชุมชนหรือหมู่บ้าน มีศักยภาพในการผลิตสินค้า การค้าขายที่แข็งแกร่งขึ้น
“ยังมีอะไรที่ไปรษณีย์ไทยขับเคลื่อนได้อีก ซึ่งหากปลดล็อกบริการระหว่างเอกชนได้ จะสามารถพัฒนาการทำธุรกิจไปยังช่องทางอื่นๆ ของเอกชนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในภูมิภาคได้ง่าย พร้อมกับให้แนวทางไปรษณีย์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ที่จะเกิดขึ้น ด้วยการสร้างฐานการขนส่งสินค้า (โลจิสติกส์) ให้เป็นระดับภูมิภาค พัฒนาระบบให้ดีรองรับอี-คอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบ”
พล.อ.สาธิต พิธรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า กำลังเร่งแผนงานไปรษณีย์ไทย 4.0 ให้เห็นภายในปี 2562 ซึ่งจะต้องปรับปรุงระบบงานไปรษณีย์ รวมถึงการนำระบบไอทีมาใช้ในการให้บริการครบวงจร มุ่งเน้นความสะดวกสบายของลูกค้า และสามารถกำหนดความต้องการในการใช้บริการได้ พร้อมพัฒนาและปรับปรุงการบริการหน้าเคาน์เตอร์ให้ได้มาตรฐาน นำเครื่องคัดแยกอัตโนมัติมาใช้งานในศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการเสียหายในขั้นตอนการคัดแยกจดหมายและพัสดุ อีกทั้งให้ลดเวลาเพื่อให้การจัดส่งรวดเร็วขึ้น
ในปีหน้าจะนำเครื่องคัดแยกอัตโนมัติในการคัดแยกซองมาใช้ก่อน จากนั้นจึงจะนำเครื่องคัดแยกอัตโนมัติในการคัดแยกกล่องมาใช้ทั้ง 19 ศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ คาดใช้งบลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือต่อเครื่องลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ทั้งหมดจะแล้วเสร็จในปี 2562 เพื่อรองรับทั้งจดหมายและพัสดุที่อยู่ในเส้นทางไปรษณีย์จำนวน 8 ล้านชิ้นต่อวัน
