ปัจจัยลบรุมฉุดดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนพ.ค. ทรุดแตะ 31.3 – แนะทยอยปลดล็อกธุรกิจ ภายใต้เงื่อนไขของความปลอดภัย กระตุ้นเศรษฐกิจ ลดปัญหาคนตกงาน

ความเชื่อมั่นหอการค้าทรุดหนัก – นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 364 ตัวอย่าง ระหว่าง 25-29 พ.ค. 2563 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของการค้าไทยประจำเดือนพ.ค. 2563 ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 31.3 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยลบต่างๆ คือการที่สำนักงานสภาพัฒนการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2563 ติดลบ 1.8% ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน และคาดการณ์ เศรษฐกิจทั้งปีติดลบ -6.0% ถึง -5.0% โดยมีค่ากลางที่ติดลบ -5.5% จากเดิมคาด ขยายตัว 1.5-2.5% รวมถึงความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้การ ดำเนินชีวิตของประชาชน และการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และการรัฐบาลขยายเวลาการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังคงสั่งปิดกิจการในบางประเภทที่ ยังมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

สถานการณ์ภัยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศจำนวนคนว่างงานจากสถานการณ์โควิด-19 ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลทำให้รายได้ของเกษตรกรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน

ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากระดับ 32.634 บาท/เหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2563 เป็น 32.039 บาท/เหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2563 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายังคงมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าจากประเทศไทย และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะตัวลงอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

ส่วนปัจจัยบวกที่มีผลต่อความเชื่อมั่น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น มาตรการเปิดเมืองของรัฐบาลระยะที่ 1 และ 2 เพื่อให้กิจการห้างร้านต่างๆ กลับมาดำเนินธุรกิจภายใต้วิถี New Normal ปัจจัยการส่งออกของไทยเดือนเม.ย. 2563 เพิ่มขึ้น 2.12% มูลค่าอยู่ที่ 18,948.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การนำเข้าลดลง 17.13% มีมูลค่าอยู่ที่ 16.485.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เกินดุลการค้ามูลค่า 2,462.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ค่าดัชนีหุ้นเดือนพ.ค. 2563 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 41.19 จุด จาก 1,301.66 ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2563 เป็น 1,342.85 ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2563 และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 0.50% ต่อปี

ส่วนแนวทางและขอเสนอแนะในการในการแก้ไขปัญหา เช่น การปลดล็อกการเดินทางภายในประเทศ และการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว เร่งมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินการได้

มาตรการของภาครัฐที่ให้มีการจ้างงานในแต่ละพื้นที่เพื่อรองรับปัญหาการเลิกจ้างงานของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จากธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องปรับลดพนักงานของตนเองลง

มาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินในภาวะตึงตัวจากการหยุดกิจการชั่วคราวในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มกลับมาเปิด ดำเนินกิจการได้ใหม่อีกครั้ง โดยปัจจุบันภาคธุรกิจไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ เนื่องจากคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามมาตรฐานของสถาบันการเงิน

รวมถึงรัฐบาลควรจัดทำ Bubble หรือ Selective Travel ในกลุ่มประเทศเอเชีย ควรผ่อนคลายมาตรการการล็อกดาวน์ในพื้นที่รวมถึงการผ่อนคลายธุรกิจให้กลับมาดำเนินกิจการอีกครั้งภายใต้เงื่อนไขของความปลอดภัยจากการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้มากขึ้น แต่ยังคงคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย และพิจารณาการเปิดด่านสำหรับค้าขายสินค้าตามแนวชายแดนอย่างเต็มรูปแบบเพื่อทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ในเวลาอันเร็วขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน