นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับการเปิดเสรีนำเข้าก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ โดยเฉพาะคลังแอลพีจีที่เปิดให้เอกชนรายอื่นเข้ามาใช้บริการได้ มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบธุรกิจต่อปตท. อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เพราะทำให้มีผู้นำเข้าแอลพีจีเข้ามาแข่งขันในตลาดกันมากขึ้น เป็นทางเลือกแก่ผู้ใช้

“ปตท. มองตัวเองว่ามีความสามารถในการแข่งขันในตลาดแอลพีจีเพียงพอ และเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐเปิดเสรีนำเข้ามากขึ้น สร้างบรรยากาศในตลาดให้เกิดการแข่งขันเข้มข้นขึ้น ทำให้ปตท. ต้องปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ในโอกาสลงนามข้อตกลงคุณธรรม ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ว่า เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐเจ้าของโครงการและผู้เข้าร่วมเสนอราคาในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่มีการเรียกรับเงินสินบนหรือประโยชน์อื่นใด รวมถึงเปิดเผยข้อมูลโครงการที่สำคัญในทุกกระบวนการยังโปร่งใส โดยปีนี้ปตท. จัดทำข้อตกลงคุณธรรม 2 โครงการ รวมงบลงทุน 135,000 ล้านบาท ได้แก่

โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก เส้นที่ 5 ส่วนที่ 2 (ฉะเชิงเทรา-นนทบุรี) มีผู้ซื้อเอกสารประมูลราคาล่วงหน้า 8 ราย ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มกำลังการส่งก๊าซธรรมชาติจากฝั่งตะวันออกไปยังโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันตก โดยโครงการมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2564 งบลงทุน 96,500 ล้านบาท

โครงการคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) แห่งใหม่ จ.ระยอง : LNG Receiving Terminal มีผู้เสนอราคา 6 ราย เป็นการสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับจ่ายแอลเอ็นจี เพื่อรองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีปริมาณ 7.5 ล้านตันต่อปี กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2565 งบลงทุน 38,500 ล้านบาท

ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ปัญหาคอร์รัปชั่นของไทยในปี 2560 พบว่าหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่อนุมัติ/อนุญาตยังมีปัญหา อาทิ ที่ดิน การก่อสร้าง แม้พฤติกรรมความผิดจะลดลง เพราะเน้นจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับความสะดวกเป็นหลัก ไม่ใช่การจ่ายเงินเพื่อได้มา ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาต่างชาติขณะนี้จึงไม่ค่อยดี

“แม้รัฐบาลจะตั้งใจออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อำนวยความสะดวกเรื่องการออกใบอนุญาต เพื่อให้ขั้นตอนมีความโปร่งใส แต่ปัญหายังไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นต้องมีการปฏิรูประบบราชการไทยอย่างจริงจัง”นายประมนต์กล่าว

นอกจากนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ยังคงติดตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน โครงการรถไฟทางคู่ 2-3 เส้นทาง การวางระบบโทรคมนาคมทั่วประเทศ และโครงการนำสายไฟฟ้าลงดิน แต่ยอมรับว่าขอบข่ายการตรวจสอบขององค์กรฯ มีข้อจำกัดเรื่องกำลังคนที่ทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ที่ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ปัจจุบันมีเพียง 250 คน ซึ่งไม่เพียงพอในการตรวจสอบ จึงอยากได้กำลังคนเพิ่มเป็น 300-400 คนด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน