สุริยะ’ ลงพื้นที่อีอีซี ดันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยายนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ-ดึงการลงทุน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ลดปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5

ดันแจ้งเกิดอุตฯยานยนต์ไฟฟ้า – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างนำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (กลุ่มจังหวัดอีอีซี ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการลงทุนต่างๆ ว่า กระทรวงเดินหน้าผลักดันแผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เกิดการลงทุนจริงตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้ โดยมีมาตรการสนับสนุนทั้งในส่วนของอุปสงค์ (ความต้องการใช้) และอุปทาน (ผู้ผลิต) เพื่อเร่งให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศตรงตามเป้าหมายและให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และลดปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อย่างเป็นรูปธรรม

โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว ซึ่งล่าสุดได้เดินทางเยี่ยมชมศูนย์การผลิตแหลมฉบัง ของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อรับทราบความคืบหน้าโครงการการผลิตรถมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทปลั้กอินไฮบริดที่ผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

ศูนย์ดังกล่าวมีกำลังการผลิตสูงสุด 424,000 คัน เป็นศูนย์การผลิตที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังรับทราบข้อมูลการลงทุนเพื่อปรับปรุงศักยภาพการผลิต (Restructuring Project) สอดคล้องกับแผนระยะกลาง 3 ปี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศไทย

นอกจากนี้ ได้เดินทางไปยังพื้นที่โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการ ซึ่งล่าสุดยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายพื้นที่ที่จะรองรับโครงการดังกล่าวฯ ลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (นิว เอส เคิร์ฟ) จากนั้นเดินทางต่อไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 และความคืบหน้าโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค

ด้านน.ส.สมจิณณ์ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมประเภทปิโตรเคมี ติดอันดับ 1 ใน 5 ของภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมคอมเพล็กซ์มีจำนวน 5 นิคม ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล นิคมอุตสาหกรรมผาแดง และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีโรงงาน 151 โรง มีแรงงาน 30,000 คน มูลค่าการลงทุน 1 ล้านล้านบาท รองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ปิโตรเคมีขั้นกลาง ปิโตรเคมีขั้นปลาย ก๊าซ เคมีภัณฑ์ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน เหล็ก และอุตสาหกรรมอื่น

สำหรับพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รวมประมาณ 2,870 ไร่ และระยะที่ 3 ประมาณ 1,000 ไร่ ปัจจุบันท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดมีท่าเทียบเรือให้บริการ 12 ท่า แบ่งเป็นท่าเทียบเรือสาธารณะ (Public Berths) 3 ท่า และท่าเทียบเรือเฉพาะกิจ 9 ท่า มีปริมาณเรือผ่านท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดจำนวน 4,258 ลำ ปริมาณสินค้าผ่าน

ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ณ วันที่ 31 ก.ค. 2563 อยู่ที่ 41,977,778 ตัน และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค 19 เป็นผลให้ปริมาณสินค้าผ่านท่าลดลงประมาณ 6.8% มีระบบบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางน้ำโดยใช้ระบบ VTMS (Vessel Traffic Monitoring System : VTSM) ตามมาตรฐานสากลของการให้บริการจราจรทางน้ำ ซึ่งเป็นระบบเฝ้าสังเกตการณ์การเคลื่อนที่ของเรือในทะเล โดยใช้หลักการทำงานจากอุปกรณ์เซนเซอร์ สามารถติดตามการเคลื่อนที่ของเรือได้ตลอดเวลา ทำให้ควบคุมการจราจรทางน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 กับบริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด หลังได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยองแล้ว ทางกัลฟ์ได้ออกแบบและก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทั้งการขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องน้ำ และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเทียบเรือก๊าซ รองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569

ส่วนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค มีแนวคิดเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบในการพัฒนา Smart Eco และใช้นวัตกรรมในการให้บริการระบบสาธารณูปโภค เป็นศูนย์กลางทางพาณิชย์ของชุมชนที่ทันสมัย ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่โครงการประมาณ 1,383.76 ไร่ คาดจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 2/2564 และใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี คาดจะสามารถเปิดดำเนินโครงการได้ในช่วงไตรมาส 1/2567 ก่อให้เกิดการจ้างงาน ประมาณ 7,459 คน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 1,342,620,000 บาทต่อปี (คิดฐานเงินเดือนขั้นต่ำเดือนละ 15,000 บาท)

นิคมฯ สมาร์ท ปาร์ค มีมูลค่าการลงทุนระยะแรก ประมาณ 2,480.73 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าออกแบบแนวคิดโครงการและการจัดทำอีไอเอ และค่าดำเนินการก่อสร้าง เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิตอล มีความได้เปรียบในเรื่องของระบบคมนาคมขนส่งทั้งระบบขนส่งทางอากาศสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระบบขนส่งทางบก ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทางด่วนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น และคาดจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณไตรมาส 2/2564 กำหนดพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน