นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (จร.) เปิดเผยว่า ระหว่างการนำคณะผู้แทนจากกรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดพิจิตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยภาคเอกชน ลงพื้นที่พบปะสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรผู้ผลิต มะม่วง ส้มโอ และพริกซอส ในจังหวัดพิจิตร พร้อมเยี่ยมศูนย์ส่งออกส้มโอโพธิ์ประทับช้าง ศูนย์รวบรวมผลผลิตกลุ่มมะม่วงแปลงใหญ่ วังทับไทร อำเภอสากเหล็ก สวนมะม่วง อ.เขมชาติ ศูนย์รวบรวมพริกซอสของสหกรณ์ชาวนาวังทรายพูน และตลาดจริงใจ ฟาร์มเมอร์มาร์เก็ต และท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อสร้างความเข้าใจในการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพิ่มแต้มต่อให้กับสินค้าเกษตรของไทยในตลาดคู่ค้าสำคัญ รวมถึงการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร และการทำการตลาดให้มะม่วงและส้มโอ

จากการลงพื้นที่ พบว่าส้มโอโพธิ์ประทับช้าง มีตลาดทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็นตลาดในประเทศสัดส่วน 65% (ประมาณ 13,500 ตัน) ส่งขายตลาดไท และตลาดมุมเมือง ที่เหลือ 35% (7,000 ตัน) ส่งออกต่างประเทศ อาทิ จีน และตะวันออกกลาง ราคาส่งออกเฉลี่ย กิโลกรัมละ 50-60 บาท สำหรับมะม่วงในอำเภอสากเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 200,000 ไร่ มีผลิตขั้นต่ำเฉลี่ยไร่ละ 1 ตัน ส่วนใหญ่ได้มาตรฐาน GAP แล้ว และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกสวน ส่วนใหญ่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ซึ่งได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างประเทศ ตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์

นางอรมน กล่าวอีกว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสของเกษตรกรที่จะเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ผ่านทางห้างโมเดิร์นเทรดของไทย เช่น ท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต แมคโคร และบิ๊กซี รวมทั้งตลาดในต่างประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย อาทิ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันไม่เก็บภาษีศุลกากรกับมะม่วงและส้มโอที่ส่งออกจากไทยแล้ว

สำหรับพริกซอส ของสหกรณ์ชาวนาวังทรายพูน จำกัด ที่รวบรวมส่งให้โรงงานผลิตซอสพริก มีพื้นที่ปลูกกว่า 212 ไร่ ตลาดมีความต้องการสูงและให้ราคาดี มีการทำข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า รับซื้อในราคาประกัน พันธุ์ศรีสุดา รับซื้อ 14 บาท/กิโลกรัม ส่วนพันธุ์ซุปเปอร์ฮอท รับซื้อ 33 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายพริก 56,000 บาท/ปี หรือ 140,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต ซึ่งช่วยให้สมาชิกสหกรณ์มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกมะม่วงอันดับที่ 2 ในอาเซียน รองจากเวียดนาม และอันดับที่ 7 ของโลก โดยในปี 2563 ไทยส่งออกมะม่วงสดสู่ตลาดโลก มูลค่ารวม 62 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5% จากปี 2562 ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน เกาหลีใต้ และจีน ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 7 ประเทศ (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม เมียนมา และมาเลเซีย) จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู ไม่เก็บภาษีนำเข้ามะม่วงสดและมะม่วงอบแห้งจากไทยแล้ว เหลือเพียง 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว และกัมพูชา เก็บภาษีนำเข้า 5% และเกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้า 24%

สำหรับส้มโอ ในปี 2563 ไทยส่งออกส้มโอสู่ตลาดโลก มูลค่ารวม 21.35 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 29% จากปี 2562 ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน อาเซียน (สปป.ลาว และเมียนมา เป็นตลาดส่งออกหลัก) และฮ่องกง ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 17 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู ไม่เก็บภาษีนำเข้าส้มโอจากไทยแล้ว เหลือเพียง อินเดีย ที่คงเก็บภาษีนำเข้า 25%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน