นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบรางพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุ (ฉบับที่) พ.ศ. … เพื่อเพิ่มเติมแหล่งที่มาของกองทุนผู้สูงอายุ และนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นการรองรับมาตรการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อดูแลประชาชนกลุ่มดังกล่าวให้มีรายได้ในการดำรงชีพเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยแหล่งเงินของกองทุนผู้สูงอายุ จะมาจากเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต ในอัตรา 2% ของภาษีที่เก็บจากสินค้าสุราและบุหรี่ โดยสูงสุดไม่เกิน 4 พันล้านบาท และโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งกำหนดวันเริ่มโครงการตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่รับเบี้ยยังชีพสูงอายุอยู่ในปัจจุบันสามารถนำบัตรประจำตัวประชาชน หรือเอกสารมอบอำนาจ แจ้งความประสงค์ขอบริจาคเบี้ยยังชีพได้ที่หน่วยงานที่ได้แจ้งลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพไว้ ได้แก่ สำนักงานเขตกรุงเทพฯ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สำนักงานเมืองพัทยา ส่วนผู้ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัดแต่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถแจ้งบริจาคได้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งหน่วยงานรับแจ้งการบริจาคจะจัดเตรียมแบบฟอร์มการขอบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ ผู้บริจาคจะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ และสิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 เท่าของเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมิน หลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อน ซึ่งกองทุนผู้สูงอายุจะจัดส่งใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคต่อไป โดยผู้บริจาคเบี้ยยังชีพสามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป

โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพทั้งสิ้น 8 ล้านราย ในส่วนนี้แบ่งเป็นผู้สูงอายุที่มีความยากจน และลงทะเบียนในโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 3.6 ล้านราย ส่วนที่เหลืออีก 4.4 ล้านรายนั้น เป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้ลงทะเบียนในโครงการดังกล่าว และคาดว่าในส่วนนี้จะมีผู้สูงอายุที่บริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุประมาณ 25% หรือคิดเป็น 1 ล้านราย คิดเป็นวงเงินประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวเมื่อรวมกับเงินบำรุงกองทุนจากภาษีสรรพสามิตแล้ว จะทำให้กองทุนผู้สูงอายุมีเงินทั้งสิ้น 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอในการจัดสรรดูแลผู้สูงอายุที่มีความยากจนจำนวน 3.6 ล้านรายต่อไป

“ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยปัจจุบันมีประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ทั้งสิ้น 11 ล้านคน หรือคิดเป็น 16% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี 2564 จะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากปัจจุบันมีการใช้งบประมาณในการดูแลเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประมาณ 6.4 หมื่นล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน