นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 2565 อุตสาหกรรมไฟฟ้า และพลังงานต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาพลังงานโลกและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

ผลประกอบการในปี 2565 ของเอ็กโก กรุ๊ป สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตการณ์ราคาพลังงานปี 2565 ได้ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงและภาวะเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ รายได้และกำไรจากการดำเนินงานยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะเดียวกันยังสามารถขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ไฮไลต์ทางธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป ในปี 2565 ได้แก่ การเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว กำลังผลิตรวม 650 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นเพิ่ม 10% เพื่อถือหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ การซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้า “ไรเซ็ก” สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 609 เมกะวัตต์ และการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า “สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่” อินโดนีเซีย

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ ลงนาม MOU ศึกษาและพัฒนาแผนงานด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในโรงไฟฟ้าของเอ็กโก กรุ๊ป

สำหรับผลประกอบการปี 2565 มีรายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า “พาจู อีเอส” เกาหลีใต้ “ไซยะบุรี” สปป.ลาว “ซานบัวนาเวนทูรา” ฟิลิปปินส์ “ขนอม” จ.นครศรีธรรมราช และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ

ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 สาเหตุมาจากการรับรู้การด้อยค่าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและโรงไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ ได้แก่ การรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนของโรงไฟฟ้า “สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่” และการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ “หยุนหลิน”

อย่างไรก็ตาม เอ็กโก กรุ๊ป ขอยืนยันว่าบริษัทยังมีสภาพคล่องสูงในการลงทุนโครงการอื่นๆ และมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงาน ที่แข็งแกร่งจากพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้บริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 (AGM) ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 15 มี.ค. 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เม.ย. 2566 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เม.ย. 2566 หากรวมการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 คิดเป็นทั้งหมด 6.50 บาท/หุ้น

นายเทพรัตน์ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดความสำเร็จและแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของพลังงาน รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่น เช่น ไฮโดรเจน ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ยื่นข้อเสนอในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ FiT ของภาครัฐ โดยผ่านการพิจารณาเบื้องต้น 16 โครงการ ทั้งประเภทโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบร่วมกับ ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) รวมกำลังผลิตกว่า 300 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า “เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย” กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในเดือนม.ค. 2567

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน