ทราย น้ำตาคลอ เผยนาทีสูญเสีย เร็วไป ปรับตัวกับข้อเท็จจริงใหม่ชีวิต พ่อแม่จากไปแล้ว

สุดเศร้าเผยความรู้สึกในวันที่พ่อและแม่จากไปแล้วทราย เจริญปุระ เปิดใจ หลังสูญเสียคุณแม่สุภาภรณ์ ซึ่งป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและสมองเสื่อมมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ว่า กำลังจะเช็ดตัวให้แม่ตามปกติ พอไปดู แม่ตัวเย็นแล้วสักพัก ก็ไม่เชิง ไปปุบปับ เพราะคุณแม่ป่วยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิด เพราะอาการไม่ได้ทรุด ยังจำเราได้ เทียบกับตอนพ่อ คือจะจำไม่ได้เลย

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

แม่แค่เรียบเรียงประโยคไม่ค่อยถูก และต้องคอยช่วยป้อน จริงๆในใจเรารู้ว่าโรคไม่หายอยู่แล้ว แต่อยากให้แม่กินได้ แข็งแรงกว่านี้ แต่ทุกอย่างดูเร็วไปหมด ตั้งแต่วันที่รู้ว่าแม่เป็นสมองเสื่อม เรื่องต้องกินยาซึมเศร้าตลอดรู้ตั้งแต่เด็กแล้ว

“ลึกๆ เรากลัวเราตายก่อนแม่ด้วยซ้ำ เพราะเราต้องออกไปข้างนอกตลอด เสี่ยงกว่า เพราะแม่อยู่ในบ้านปลอดภัยกว่า รู้สึกแม่ควรจะได้อยู่นานกว่านี้ จริงๆ ไม่มีอะไรคาใจ เพราะเรารู้สึกว่าทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว เท่าที่ทรัพย์สิน กำลังใจ กำลังกาย เราทำได้ ไม่มีอะไรติดค้าง ไม่สบายใจ แต่ยังรู้สึกมันเร็วมากๆ ยังงงๆ”

ทรายอยู่กับแม่ทั้งในฐานะ แม่กับลูก ผู้จัดการกับดารา แม่รู้อยู่แล้วว่าทรายทำได้ ส่วนเรื่องกระดูกแม่ ที่แม่สั่งไว้ก็ต้องเก็บ แต่ต้องถามทางคุณยายด้วยจะทำยังไงบ้าง เพราะคุณยายยังอยู่ แต่ส่วนตัวทราย แม่ยังอยู่กับทรายตลอดอยู่แล้ว แม้ไม่ได้เจอ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยู่

ขณะที่ ทราย โพสต์หลังงานสวดแม่ คืนที่ 2 ด้วยว่า “เมื่อวานคนมางานเยอะมากๆเลยคุณแม่ เยอะจนพี่ทรายรู้ตัวเลย ว่าดูแลได้ไม่ทั่วถึงแน่ๆ
คนส่งหรีดมาเยอะมากนะคะ ถ้าคุณแม่ยังอยู่ก็คงเรียกพี่ทรายไปดูว่าคนนั้นก็ส่งมา คนนี้ก็ส่งมา แล้วก็ต้องมานั่งนึกและถามกันต่อ ว่า ‘พี่ทรายไปรู้จักเค้าตอนไหน?’

ตอนแม่ยังอยู่ พี่ทรายก็ถามแม่แบบนี้แหละ ว่าคนนี้เค้าทำงานกับแม่ตอนไหนนะ พี่ทรายจำอะไรแบบนี้ไม่ค่อยได้เลย ด้วยความที่แต่ก่อนแม่เป็นคนคอยจัดการอะไรๆทุกอย่าง คุยคิวงาน คุยเรื่องค่าตัว คอยจับพี่ทรายแต่งตัวไปงานด้วยกัน คนนี้คือคนนี้นะ เค้าทำงานกับพ่อ คนนี้ที่พี่ทรายทำรายการกับเค้าไง คนนี้รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยแม่ทำงานกองพ่อแน่ะ ฯลฯ

ทรายรู้สึกว่าแม่รับมือกับคนเก่งกว่าทรายมาก จำคนก็แม่น พี่ทรายแค่ไปทำงานเรื่อยๆ โดยไม่เคยรู้เลยว่าทำอะไรกับใคร บางคนทำงานกันมาเป็นปีกว่าจะจำชื่อได้ บางคนจนจบงานไปแล้วก็ยังไม่เคยเจอตัวกันเพราะแม่คุยติดต่อไว้ให้หมดแล้ว บางคนแม่ได้ยินแค่เสียงแต่พี่ทรายได้เจอก็มี เพราะแม่ไม่ได้ออกหน้ากองกับทราย

มันแปลกๆเหมือนกันนะคะ ที่อยู่มาวันหนึ่ง เราก็ไม่ต้องทำอะไรให้ใครแล้ว น้องทุกคนบอกว่าให้นั่งเฉยๆ คนนั้นก็มาช่วย คนนี้ก็มาช่วย ทั้งที่ทรายจำไม่ได้เลยว่าเคยไปช่วยอะไรเขาบ้าง เกรงใจทุกคนเหลือหลายและไม่รู้จะขอบคุณเขาแค่ไหนดี ถึงจะให้เขารู้ว่าเราอุ่นใจและขอบคุณ
โลกพี่ทรายบรรจุคนไว้ไม่กี่คน แค่พ่อกับแม่ก็เกือบจะเต็มแล้ว ตอนคุณพ่อเสีย หัวใจมันก็ไม่ได้พื้นที่คืนมาหรอกนะคะ มันก็แหว่งถาวรไปอย่างนั้น
และนี่ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็ดูจะจากไปพร้อมคุณแม่ด้วย

จริงๆเราไม่ต้องใช้หัวใจมากนักนะคุณแม่ พี่ทรายไม่ได้หมายความถึงการที่มีมันเป็นอวัยวะสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่หมายถึงที่จะใช้มันผ่านชีวิตไปแต่ละวัน บางครั้งร่างกายกับอะไรในตัวก็จัดการให้มันผ่านวันไปได้แบบอัตโนมัติ เราแยกหัวใจไว้อีกที่หนึ่ง แล้วเราก็เอาตัวเปล่าๆออกเดินทางไป

ทรายโดนหลายคนบอกว่าทำไมไม่บอก ทำไมไม่ส่งข่าวกันบ้าง ทรายไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องไหนควรหรือไม่ควรบอกใครบ้าง บางครั้งทรายก็บอกมากเกินไป บางครั้งก็บอกน้อยเกินไป เส้นแห่งความเหมาะสมนั้นอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ และก็ดูเหมือนหลายคนจะเอียนๆกับความ’มากไป’ของอะไรหลายๆอย่างของทราย

ที่เขียนอยู่นี่ก็ดูจะ’มากไป’อีกแล้ว และไม่เห็นจะตอบคำถามอะไรได้เลยซักนิด
ทรายว่าร่างกาย สมอง และหัวใจทรายคงพยายามปรับตัวอยู่กับข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต
ว่าคุณแม่จากไปแล้ว
คุณพ่อก็จากไปนานแล้ว
ทรายรู้ว่าทั้งสองคนยังอยู่ในตัวทรายนี่แหละ แต่พอจับต้องไม่ได้ บางทีมันก็ไม่มั่นใจ
เรื่องราวมากมายหล่นหายไปเรื่อยๆ
แล้วบางทีทรายก็คงยังไม่ชินกับการไม่รู้จะถามใคร ว่าอะไรมันมากไป อะไรมันน้อยไป และใครเป็นใครในชีวิตของเรา

-สวดคืนที่2 / 6 ตุลาคม 2562-”

cr.Inthira Charoenpura , NineEntertain Official

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน