ไม่เข็ดความรัก! ปู ไปรยา ยังหวังเจอคนที่ใช่ นับจากนี้ไม่สนกระแส เคยดำดิ่งขั้นสุด ไม่มีใครจ้างงาน ตอนล้มได้แม่ ผึ้ง พุ่งพวง เป็นที่พึ่ง

เกือบ3ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย กลับมาคราวนี้ นักแสดงสาว ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก ก็กลับมารับทรัพย์ ก้อนโตเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกให้กับอาหารเสริมของแบรนด์ MAHARANEE(มหาราณี) โดยเมื่อวันที่ 25 มี.ค หลังจบงาน “GREASE HOUSE THANK YOU PARTY MAHARANEE SEASON 6” เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตช่วงที่หายไป เจอมรสุมดราม่า ทัวร์ลงชีวิตดำดิ่ง เธอผ่านมาได้ยังไง ทั้งแง้มหัวใจว่าหลังต้องเลิกรากับคู่หมั้นไป พร้อมมีคนใหม่หรือยัง


กลับมาในรอบกี่ปี?
“2ปีครึ่ง กลับมาครั้งนี้ก็กลับมาถ่ายโฆษณา4ตัว เพราะว่าปูหายไปจริงๆ ช่วงนั้นก็คือไปเลย ตอนนี้ก็กลับมารับงานบ้างเพราะว่าเราก็ต้องใช้เงิน แล้ว2ปีที่ผ่านมาก็คือแคสต์หนัง แล้วก็เพิ่งปิดกล้องหนังไป ก็น่าจะออกกลางปีนี้แล้ว ก็มีถ่ายแบบทำงานอยู่ที่นู่น แล้วก็พักผ่อน ปี 2020 ก็เหมือนทุกคนที่ล็อกดาวน์อยู่บ้าน ประเทศไทยเป็นที่ที่ปูทำงานมาตลอดอยู่แล้ว แล้วจะให้หนีไปตลอดมันก็ไม่ใช่ ตอนแรกก็รู้สึกไม่พร้อมแต่ตอนนี้ก็พร้อมกลับมาแล้วค่ะ”

คาดหวังกับผลงานหนังต่างประเทศแค่ไหน?
“จริงๆ ปูเป็นคนที่ไม่อิงกระแสเลยค่ะ คือเราอยู่ในโลกของความจริงว่าเราทำงาน สนุก ผลงานออกมาดีแล้วก็คนชอบพอแล้วค่ะ”

วางสเต็ปงานที่นู่นไว้ยังไง?
“จริงๆ ก็จะทำไปเรื่อยๆ หวังจะสร้างเป็นอาชีพเหมือนที่ตัวเองมีในเมืองไทย หนังเรื่องนี้ได้ร่วมงานกับ จอห์น ทราโวลตา และ บรูซ วิลลิส นิสัยดีทั้งคู่ ดีมากๆ ผู้กำกับฯก็นิสัยดี คือปูดูหนังของจอห์น ทราโวลตา มาตั้งแต่เด็ก พอได้ร่วมงานก็เหมือนฝันเป็นจริง ในเรื่องปูเล่นเป็นตำรวจ ก็เป็นตัวหลักเหมือนกัน เดินเรื่องมีตัวร้ายสอบสวนมีเรื่องบนเกาะ ก็คือต้องบู๊ นอกจากหนังเรื่องนี้ก็จะมีพวกซีรีส์ แต่ว่าต้องรอดูค่ะ ปูไม่ชอบพูดเอง ส่วนพวกงานโมเดลก็คือไม่รับเลย โฟกัสหนังอย่างเดียว คือปู 33 แล้ว ใครจะจ้างไปเดินแบบ แล้วปูก็รู้สึกว่าในใจปูมีความสุข ก็คืออยู่LA ไม่งั้นปูว่าก็อยู่นิวยอร์ก”

ที่โน่นกว่าจะได้งานแต่ละชิ้นยากไหม?
“ยากสิ แต่อย่างที่บอกว่าคนที่ไม่ได้ไปแล้วทิ้งทุกอย่าง ไม่มีทางเข้าใจว่ามันยากขนาดไหน เสียน้ำตาเยอะมาก จนปูต้องเลิกคิดถึงคอมเมนต์หรือความคิดเห็นหรือความต้องการของคนที่นี่ เราคาดหวังว่าจะปังเหมือนที่นี่เป็นไปไม่ได้ เพราะเราไปอยู่นู่นมันเริ่มจากที่เราเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก”

แล้วคุ้มไหม?
“คุ้มทุกอย่าง เพราะปูได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วปูก็รู้สึกว่าไม่ได้อิงกับคำว่ากระแสแล้ว มีหรือไม่มีไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าพัฒนาตัวเอง”

แล้วตอนนั้นเรียกว่าดิ่งได้ไหม?
“ดิ่งสิ คู่หมั้นก็ไปกันไม่รอด โดนด่า 11 รอบมั้งทัวร์ลงไม่รู้กี่รอบ หนักมาก ตอนแรกก็เสียใจมาก แต่ในใจก็ต้องรู้ถึงความจริงว่าอะไรคือหน้าที่ของเราจริงๆ อะไรคือสิ่งที่เราทำได้จริงๆ แล้วอะไรคือโลกโซเชียล คือมันควบคุมไม่ได้เลย คือเราจะไปต่อล้อต่อเถียงเหรอ

คือเห็นคนฟ้องเยอะ ปูก็ไม่อยากทำ เพราะว่าในใจคิดว่าเราจะมาจ่ายเงินให้คนออกมาขอโทษเรา แค่เขาออกมาแสดงความคิดเห็น ถึงแม้ความคิดเห็นจะทำให้เราเสียใจแต่มันก็ไม่เป็นไรมันเป็นสิทธิ์ของเขา ก็เลยหวังว่าถ้าเราเคารพสิทธิ์ของเขา วันนึงเขาจะเข้าใจเองว่าบางเรื่องมันก็กระทบถึงใจดารา แต่ปูว่าตอนนี้ยังไงก็ต้องโดน

อย่างดูข่าวล่าสุด คนใส่ใจในวันที่เขาไม่อยู่ แต่ในวันที่เขาอยู่เขาทุกข์เขาบอกว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าแต่กลับไม่มีใครเห็น ปูคิดในใจ แล้วปูอยู่มานาน ปูเคยร้องไห้ต่อหน้าสื่อ ปูเคยพูดว่าปูเสียใจแต่ต่อไปนี้อ่ะปูคิดในใจแล้วว่าปูจะไม่ให้คนเห็นความอ่อนแอของเรา”

อะไรมันทำให้เราตกผลึกได้ขนาดนี้เพราะเราก็อยู่กับกระแสมาตลอดชีวิต?
“คำว่ากระแสมันมีความหมายอะไรในช่วงโควิด คนไม่มีข้าวกิน คนสูญเสียบ้าน งาน สูญเสียอนาคต สูญเสียความฝัน กระแส งานเดินพรมแดง มันเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญแล้วอ่ะ คือเกิดมาครั้งเดียวทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ช่วยเหลือคนที่เราอยากช่วย คือช่วยเงียบๆ ก็ได้ ไม่ต้องลงไอจี ปูเลิกเล่นไอจีไป5เดือนได้ทัศนคติอะไรเยอะมาก
ช่วงหลังจากเดือนที่มีข่าวก็เลิกเล่นเลย รายได้ก็คือหายไปหมดเลยตอนนั้น ปี 2020 ลูกค้าหลายคนก็ไม่อยากจ้าง เพราะกระแสสังคมค่อนข้างแรง แต่ปูก็คิดว่าเราจะแอบไปทั้งชีวิตกับคนที่ไม่เข้าใจ แต่ต้องการเข้าใจเราต้องสู้อ่ะ ตอนนั้นเงินที่เราเก็บก็มีค่ะแล้วก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น ก็ไม่ได้ออกไปกินข้าวอยู่แล้ว ยุคโควิดก็ทำอาหารกินอยู่ที่บ้าน”

คือหวังอนาคตแทบจะไม่ได้เลยในช่วงนั้น?
“กว่าจะจิตใจแกร่งแบบนี้บอกเลยนะว่าปูมีช่วงที่ดาร์กเยอะมาก แต่ในใจปูก็คิดว่าปูมีพ่อแม่ ปูก็ต้องสู้เพื่อเขาสิ คนที่ปูไม่รู้จัก มาตัดสินชีวิตปู ช่างมันเถอะ ปูจะตาย ปูจะอยู่ มันไม่ได้มีความหมายกับเขา เขาพิมพ์แล้วเขาก็ไป ถ้าไม่มีใครอยากจ้างเราก็ไม่เป็นเรา ปูผ่านทุกจุดมาหมดแล้ว รูปหลุดเราก็เคยผ่านมาแล้ว ชีวิตปูขึ้นแล้วก็ลงอยู่อย่างนี้ มันเป็นสิ่งไม่จีรัง ปูเข้าใจมัน อยู่ให้มีความสุข
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคโควิดแล้วยังมีลมหายใจอยู่ ยังรอดอยู่ กี่คนทั่วโลกที่ไม่รอด แค่ได้ตื่นมาทำงานก็โอเคแล้ว กระแสมีไม่มี ปังไม่ปังช่างมันเถอะ มีงานทำ ได้เจอคนที่เรารัก นี่แหละคือสิ่งที่เรารัก”

กลับมายืนได้เพราะเปลี่ยนมายด์เซ็ตตัวเอง?
“คนเรายุคนี้ไม่ชอบนั่งอยู่กับความรู้สึกตัวเอง จะหาทางหนีมัน ไปเที่ยว ช็อปปิ้ง กินเหล้า ทำงาน มีแฟน แต่บางครั้งเรานั่งกับความรู้สึกจริงๆ นั่งอยู่กับชีวิตจริง สถานการณ์จริงแล้วถามตัวเองว่าเรารับได้กับความเป็นจริง สิ่งที่ไม่ได้ฟุ้งซ่าน ปรุงขึ้นมา ถ้าเรารับได้ปูว่าเราก็ผ่านไปได้”

ตอนล้มได้แม่ ผึ้ง พุ่งพวง เป็นที่พึ่ง?
“ใช่ค่ะ คุณตาปูเป็นคนสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง คือตอนกลับไทยช่วงนั้นปูไปหลายวัด คนถามว่าปูมูทำไม ในใจปูคิดว่าเป็นที่เดียวที่ปูนั่งแล้วรู้สึกสงบ เป็นที่ที่เดียวที่ปูอยู่เมืองนอกแล้วปูคิดถึง ปูคิดถึงวัด มันเป็นความรู้สึกที่ยากมาก ตอนนั้นเจอข่าวเยอะ ก็รู้สึกเจ็บใจเหมือนกัน ทำยังไงมันก็ต้องเจอเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวด หนีไม่ได้ ก็คิดว่าหรือมันเป็นที่ที่ไม่ต้องการเรา แต่พออยู่โน่นก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทย เลยไปวัดแม่ผึ้ง พุ่มพวง นั่งแล้วมันก็สงบ คนในวัดก็แนะนำให้ขอแม่ผึ้งสิ
ก็ขอพรไปว่าปูเจ็บปวดมาเยอะ อยากไม่เจ็บบ้าง อยากเริ่มใหม่ อยากหลุดจากตรงนี้แล้วไม่ต้องหันกลับมาถ้าเป็นไปได้ ของานชิ้นนึงที่ทำให้ปูเดินไปข้างหน้าได้ ปูก็ให้เลย 2 ล้าน ปูไม่อยากยึดติดกับตรงนั้นแล้ว ภารกิจในการมาเมืองไทยครั้งนี้ก็คือเดินสายแก้บนด้วย ที่นี่ก็คือหนึ่งในนั้น เมื่อวานเพิ่งบินไปนครศรีธรรมราชมา ไปที่ศาลหลักเมือง”

ยังเหลือที่ต้องแก้อีกเยอะไหม?
“เยอะค่ะ ก็7 ปีกับการไหว้ขอพร 7 ปีที่รอคอย ใครบอกก็ไปหมด จริงๆ ก็ชอบไปอยู่แล้วด้วย ชอบไปไหว้พระ สวดมนต์ ปูขอพรที่ไหนไว้ก็จะจดไว้ในไอโฟน ไม่มีแพลนบนใหม่แล้วค่ะ แก้จนมึนเลยตอนนี้ เคลียร์ของเก่าให้หมดก่อน ไม่ขออะไรใหม่แล้วตอนนี้ ปูเริ่มรู้สึกว่าอะไรๆ เริ่มดีขึ้น เดี๋ยวต้นเมษายนปูก็บินกลับแล้ว กลับไปทำงานต่อ คาดว่าจะอยู่ยาว กลับอีกทีน่าจะปลายปีเลย”

อยู่ที่อเมริกาเป็นยังไงบ้าง?
“บ้านก็เช่าเอา ใช้ชีวิตธรรมดา เรียบง่ายกว่าตรงนี้เยอะ อยู่คนเดียวกับหมา2ตัว

แฟนล่ะ?
“แฟนไม่มีเลยค่ะ ตอนนี้มันยุคโควิด ตอนแรกไม่มีเลย ตอนนี้ก็เริ่มๆ มีคุยๆ บ้าง ทุกอย่างเริ่มเปิดก็มีเดท 2020 ใครจะกล้าไป เพิ่งรู้จักกัน เดี๋ยวติด(หัวเราะ) ตอนนี้เอาเรื่องงานก่อน จริงๆ เลย ชีวิต 10 ปีที่ผ่านมา ปู ไปรยาน่าจะฟังที่เขาทักตั้งแต่ต้นๆ ว่าเรื่องความรักเหมือนปูไม่มีคู่ ปูก็น่าจะฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง ก็เลยต้องเจอด้วยตัวเอง เรื่องคู่มาทีหลัง ด้วยความที่ปูเป็นคนที่อินกับความรักมาก พอมีเราก็อยากให้มันไปได้รอด กระแสสังคมด้วย

ตอนนั้น 30 ตอนนี้ 33 แล้ว ตอนนั้นคิดว่า 30 ต้องแต่งงาน มีลูก สังคมกดดัน ต้องจบแบบสวยไม่งั้นจะเป็นดาราที่คบกันไปวันๆ แต่สุดท้ายเหมือนผ่านจุดนั้นไปแล้ว ไม่มีก็ได้ ก็มีความสุข ก็ให้คนถูกใจเข้ามา ถึงต่อให้ปูปิด แต่ถ้าคนมันจะใช่ มันก็ต้องทะลุกำแพงมาได้ ได้หมด ไม่ว่าจะฝรั่ง ไทย เขาบอกคู่ปูมาเลทนิดนึง 40 อัป นางคงหลงทาง ไม่มีจีพีเอส”

เหงาไหม?
“เหงา ช่วงนั้นเปิดโซเชียลก็อยากจะร้องไห้ อยู่บ้านก็หมกมุ่น เปิดดูข่าวก็โห… มันยากมาก ตอนนั้นนอยด์ เลิกกับคู่หมั้นด้วย จริงๆ ตอนนั้นวางแผนแต่งงานไว้เดือน6 จองสถานที่ไว้ทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ไปต่อ แต่เอาจริงโควิดมาก็ไม่ได้แต่งงานกันอยู่ดี”
แต่ก็ไม่ได้เข็ดกับการแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่?
“ไม่เลย ถ้ามีคนที่ใช่จริงๆ ก็คบ เธอจะให้ฉันอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอ ปูยังพร้อมสำหรับความรักค่ะ ปูเป็นคนขี้เหงานะ ครั้งนี้ขอแค่คนที่เขารักเรา มากกว่าเรารักเขา ขอให้รักเรามากๆ”

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน