หากมองจากฐานคิดการเมืองแบบเก่า ยุคพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยุคนายบรรหาร ศิลปอาชา ยุคพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
กรณี 3 เสียงของพรรคชาติพัฒนาก็ต้องซี้ดปาก
เพราะเมื่อเทียบกับ 3 เสียงของพรรคพลังท้องถิ่นไทก็ต้องถือว่า 3 เสียงของพรรคชาติพัฒนาเหนือกว่า
ยิ่งกรณีของ 11 เสียงกลุ่มกทม.ในพรรคพลังประชารัฐ ก็ยิ่งต้องเป่าปากตีกลองด้วยความคึกคัก เพราะสะท้อนสถานะเหนือกว่าอย่างเด่นชัด
ไม่เพียงแต่เหนือกว่ากลุ่มด้ามขวานที่มี 13 ไม่เพียงแต่เหนือกว่ากลุ่มอีสานตอนบนที่มี 16
หากที่สำคัญยังเหนือกว่า 30 เสียงของกลุ่มสามมิตร
ถามว่าการเข้ามาของ 3 เสียงพรรคชาติพัฒนาจะก่อปัญหาหรือไม่
คำตอบเห็นได้จากเสียง นายอนุชา นาคาศัย
“เสมือนว่าพวกผมไปรบจนชนะ พอกลับบ้านถูกแม่ทัพนำศัตรูที่ไปต่อสู้มาจนชนะมาตัดหัวพวกผมทิ้ง”
เป็นคำตอบจาก”นักรบ”ใน “สมรภูมิ”
ประเด็นที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นก็คือ ความหมางใจกันระหว่าง 11 เสียงในกทม.ของกปปส.กับ 30 กว่าเสียงอันแวดล้อมอยู่โดยรอบกลุ่มสามมิตร
เพราะในที่สุด 11 เสียงยังรักษาโควต้าของตนเอาไว้ได้ 2 ตำแหน่ง
เพราะกลยุทธ์ของ 11 เสียงกทม.ก็คือการทะลวงเข้าไปตัดโควต้าของ 30 เสียงของกลุ่มสามมิตร โดยการดันคนของพรรคชาติพัฒนาเข้ามาแทนที่
ศึกระหว่าง 30 เสียงของกลุ่มสามมิตรกับ 11 เสียงของกลุ่มกทม.กปปส.จึงยังดำรงอยู่
ในเมื่อเป็นศึกระหว่าง 11 เสียงกทม.กปปส. กับ 30 เสียงกลุ่มสามมิตร จึงเป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐอย่างเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอย่างอื่นเจือปน
ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีพรรคภูมิใจไทย
และห่างไกลจากเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ เศรษฐกิจใหม่ เพื่อชาติ พลังปวงชนชาวไทย
นี่คือโจทย์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเป็นผู้แก้