ผลซ่อมส.ส.ขอนแก่น-บอกอะไร?

รายงานพิเศษ

ชัยชนะของนายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ที่มีต่อนายธนิก มาสีพิทักษ์ จากพรรคเพื่อไทย

ในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 ขอนแก่น เป็นผลมาจากอะไร

ใช่กระแสพรรค หรือความนิยมในตัวนายกฯ อย่างที่พรรคพลังประชารัฐกล่าวอ้างหรือไม่

ธิติพล ภักดีวานิช

คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี

ผลเลือกตั้งซ่อมเขต 7 ขอนแก่น ที่พรรคพลังประชารัฐเอาชนะเพื่อไทยได้เป็นสิ่งที่ไม่น่าตื่นเต้นหรือแปลกใจ อย่างน้อยคนที่ชนะก็เคยเป็นส.ส.มาก่อน และคะแนนไม่ได้ห่างกันมาก ไม่ได้เป็นการเลือกตั้งที่เกินคาดเดาได้

คะแนนที่ออกมาจะบอกว่าคนนิยมพรรคพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่ เพราะคนที่ลงสมัครเคยเป็นส.ส.เก่า ซึ่งโอกาสจะได้รับการเลือกตั้งกลับมามีสูงอยู่แล้ว และการได้รับชัยชนะของพลังประชารัฐก็ไม่ได้สะท้อนว่าพรรคคะแนนนิยมสูงมาก

พรรคเพื่อไทยเองพยายามช่วงชิงแล้ว คะแนนไม่ต่างกันมากจึงไม่ได้ถือว่าเป็นความพ่ายแพ้ แม้ จ.ขอนแก่นจะเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยมาก่อน การแพ้ครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการแพ้ที่ถล่มทลาย แต่การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยบางครั้งมีประเด็นเรื่องการซื้อเสียงก็ติดวาทกรรมเดิมที่ตัวเองเคยถูกกล่าวหา เพราะเมื่อตัวเองชนะประชาธิปัตย์ก็บอกว่าซื้อเสียง

ไม่ได้บอกว่าการซื้อเสียงยังมีอยู่แต่มีปัจจัยอื่นเหมือนกัน พรรคเพื่อไทยควรมองนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นปัจจัยในการตัดสินใจของคนในพื้นที่ และปรับกลยุทธ์ดึงดูดประชาชน

ส่วนหนึ่งพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับความจริง หลายนโยบายของพรรคพลังประชารัฐมีลีกษณะเป็นประชานิยม เช่น เบี้ยยังชีพ ซึ่งเป็นนโยบายที่ตอบสนองผู้มีรายได้ต่ำ ไม่มีรายได้เลย ซึ่งได้รับผลตอบรับจากประชาชนค่อนข้างมาก

ผู้มาลงคะแนนครั้งนี้เป็นคะแนนจากผู้สูงวัย ไม่เหมือนเลือกตั้งปกติที่คนวัยทำงานซึ่งทำงานอยู่ต่างพื้นที่หรือในกรุงเทพ กลับมาใช้สิทธิ์ ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้วัดความนิยมที่มีต่อพลังประชารัฐเรื่องนโยบายประชานิยม

ที่บอกว่าเป็นผลจากความชื่นชอบตัวนายกฯนั้น ไม่เกี่ยวกัน ถ้าเราดูการหาเสียงหลายครั้ง บางทีจุดขายพรรคพลังประชารัฐไม่ได้อยู่ที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อยู่ที่นโยบาย ความนิยมระดับหนึ่งมาจากตัวผู้สมัคร กลยุทธ์ก็ไม่ได้ต่างจากพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย

และอย่าลืมว่าส.ส.ก็มีฐานเสียงอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าในอนาคตพรรคพลังประชารัฐจะคงความนิยมไว้ได้แค่ไหน เพราะพรรคเพื่อไทยที่ต่อมาจากไทยรักไทยนั้นปฎิเสธไม่ได้ว่ากลยุทธ์หาเสียง ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ที่สำคัญไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมลดอย่างรวดเร็ว และไทยรักไทยก็กลายเป็นแบรนด์ บางส่วนกลายเป็นการตลาด พรรคพลังประชารัฐจะทำได้หรือไม่

ผลเลือกตั้งครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลถึงการตัดสินใจของประชาชนในเขตอื่นๆ ที่จะมีเลือกตั้งซ่อม เพราะอยู่ที่ตัวผู้ลงสมัคร ฐานเสียงเดิมมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา

ธนพร ศรียากูล

นายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่ง ม.เกษตรศาสตร์

ผลเลือกตั้งซ่อม เขต 7 ขอนแก่น ต้องแยกเป็น 2 เรื่อง 1.ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคพลังประชารัฐ มีส่วนได้เปรียบเพราะอยู่ในฝ่ายบริหาร กลไกทุกอย่างย่อมโน้มเอียงไปให้ จะมีกลไกของรัฐรูปแบบต่างๆ ที่มีบทบาทเข้าไปสนับสนุนผู้สมัครพรรครัฐบาล ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม

อย่างไรก็ตาม พื้นที่เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ผลัดกันแพ้ชนะมาโดยตลอด อีกทั้งเขตนี้ยังเป็นพื้นที่ทางการเมืองของนายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ

และนายสมศักดิ์ เป็นอดีตส.ส.ขอนแก่น มานานแล้ว ผลัดกันแพ้ชนะเพื่อไทยมาตลอด การเลือกตั้งรอบที่แล้วแพ้แค่ 3,000 คะแนน

ดังนั้น ผลเลือกตั้งซ่อมไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่เป็นการต่อสู้ในพื้นที่ทางการเมืองของคน 2 คนจริงๆ เพียงแต่นายสมศักดิ์ เหนื่อยน้อยกว่าที่เคยเพราะมีกลไกรัฐ ซึ่งไม่ว่าจะไปสังกัดพรรคไหนก็จะได้รับการยอมรับจากประชาชน

ทั้งความนิยมในตัวนายสมศักดิ์ ประกอบกับความอ่อนแอของเพื่อไทยที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำตัวจริง ดังนั้น ภาพรวมการผนึกกำลังเข้าสู้ของพรรคเพื่อไทยจึงยังไม่เห็นภาพรวมในการบัญชาการที่แท้จริง คะแนนเพื่อไทยได้จึงเป็นคะแนนนิยมส่วนตัวของผู้สมัครล้วนๆ

ถ้าครั้งนี้นายสมศักดิ์ ชนะเกิน 1 หมื่นคะแนน จึงจะพูดได้ว่าเป็นผลงานรัฐบาล แต่การชนะแค่ 2-3 พันคะแนน เป็นความนิยมส่วนตัวจริงๆ เราคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าชนะได้เพราะผลงานรัฐาบาล

สิ่งสำคัญที่ควรมองคือการเสียที่นั่งของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ที่น่ากลัวคือกระบวนการภายในพรรคเพื่อไทย และกลไกของพรรคที่สนับสนุนผู้สมัครกระจัดกระจาย และไม่มีความเป็นธรรมชาติ เป็นการช่วยหาเสียงที่ไม่มีการวางแผนงานและพูดจากัน

ผลเสียหายยิ่งกว่าคือการทำงานของพรรคเพื่อ ไทยที่นานวันยิ่งอ่อนแอลง การเสีย 1 ที่ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เสียคือกระบวนการจัดการภายในพรรค เรียกว่าอ่อนแอจากข้างใน และคะแนนที่ได้เป็นคะแนนส่วนตัวล้วนๆ

พัฒนะ เรือนใจดี

คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง

หากมองว่าพรรคพลังประชารัฐชนะเพราะผลงานรัฐบาลถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ได้ น่าจะมีส่วนอยู่บ้าง แต่ต้องมาดูเรื่องการร้องเรียนคดีทุจริตเลือกตั้งที่ส่งไปยังกกต.ขอนแก่น ที่มีจำนวนมาก ที่สำคัญคะแนนทิ้งห่างเพียง 2,000 กว่าคะแนน จึงมองข้ามคดีทุจริตเลือกตั้งไม่ได้

ส่วนจะวัดความนิยมของพรรคพลังประชารัฐได้ หรือไม่นั้น พรรคพลังประชารัฐคงดีใจว่าในพื้นที่พรรคเพื่อไทยและเป็นภาคอีสานสามารถเจาะเข้าไปได้ ทั้งที่เป็นภาวะที่ค่อนข้างจะเป็นขาลงของรัฐบาลแต่ชนะมาได้ เพื่อใช้อ้างเรตติ้งของเขายังดีอยู่ ทำให้ฮึกเหิมขึ้นหลังจากห่อเหี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ความนิยม หรือประเด็นทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับพรรคเพื่อไทยที่แพ้ครั้งนี้ต้องกลับมาทบทวนการทำงานขนานใหญ่ จะไปมองว่าจ.ขอนแก่นเป็นที่ตั้งของเรา และเป็นคะแนนส.ส.เก่าของเรา การลงพื้นที่พบปะประชนเต็มที่หรือไม่ ผู้ใหญ่ในพรรคมัวแต่ยุ่งการเมืองในพรรคมากเกินไป

พูดง่ายๆคือการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ นายธนิก มาสีพิทักษ์ ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล เมื่อพ่ายแพ้ทางพรรคก็ต้องมาสำรวจตรงนี้ว่าเรามีจุดบกพร่องตรงไหน และควรเสริมการทำงานให้กับส.ส.ในพื้นที่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ส่งผลถึงการตัดสินใจของประชาชนในเขตอื่นๆ รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมที่จ.สมุทรปราการ หรือกำแพงเพชร หรือแม้กระทั้งการเลือกตั้งใหญ่ถ้าหากมีขึ้น

เรื่องนี้เป็นเพียงจุดเฉพาะจุดเดียวในจ.ขอนแก่น ไม่เชื่อมโยงอะไรกันเลย จึงไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่อื่น

พนัส ทัศนียานนท์

อดีตคณบดีนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ไม่ใช่ เป็นเพราะผลงานรัฐบาลเข้าตาประชาชน แต่เป็นผลงานของทีมงานเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าสุดยอดเพราะเท่าที่ฟังดูเหนือกว่าพรรคเพื่อไทยทุกรูปแบบ เพราะมีการใช้วิชา ลูกไม้ แม่ไม้ หยิบมาใช้กันหมด คือเป็นแบบโบราณที่ยังใช้ได้ผลอยู่

ถามว่าเป็นเพราะผลงานของรัฐบาลเข้าตาประชาชนหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผลงานอะไรที่เข้าตาคนขอนแก่น และถ้าถามว่าผลเลือกตั้งครั้งนี้วัดความนิยมที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ คิดว่าเป็นเรื่องฉาบฉวย เหมือนสมัยก่อนที่มีพรรครัฐบาลตั้งขึ้นก็ฮือฮาเหมือนพรรคสามัคคีธรรม พรรคประชาไทยในอดีต ทำนองเดียวกัน

ที่ทุกคนรู้กันคือสิ่งที่เขามีเหนือคนอื่น คือ มีรัฐบาลทั้งรัฐบาล มีระบบราชการทั้งระบบ และหลายคนก็อาจคิดว่ามี กกต.ด้วย แต่ผมไม่กล้าไปกล่าวหา ดังนั้นที่พรรคพลังประชารัฐชนะจึงไม่แปลกใจเท่าไร และสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าต้องออกมารูปนี้

คะแนนห่างกัน 2,242 คะแนนถือว่าไม่มาก ไม่ถึงหมื่นก็ไม่ถือว่าชนะขาด และยิ่งมีประเด็นเรื่องการร้องเรียนอย่างที่ป้าร้องเรียนเรื่องลงคะแนนให้ หรือมีการปฏิบัติที่ไม่ชอบกฎหมายหลายเรื่อง ที่มีภาพข่าวออกมาก็ชัดเจน

สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นเรื่องถึงขนาดร้องไปยัง กกต. ก็ไม่แน่ว่ากกต.อาจให้เลือกตั้งใหม่ได้ หากความผิดชัดเจน ชัดแจ้งมากๆ กกต.จะทำไม่รู้ไม่เห็นก็คงไม่ได้ จะเป็นเหตุถึงขนาดต้องแจกใบเหลืองหรือใบอะไร ให้เลือกตั้งใหม่หรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเสียที่นั่งในภาคอีสานซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญนั้น ก็ต้องยอมรับว่าต้องเหนื่อยหน่อยในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถชี้วัดไปถึงตัดสินใจของประชาชนในเขตอื่นหากมีการเลือกตั้งซ่อมอีก แต่ถึงอย่างไรก็น่าเป็นห่วง ดังนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็ต้องทบทวนและถอดบทเรียนนี้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ แล้วต้องดูด้วยว่าในพรรคมีปัญหาอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะฐานเสียง ฐานความนิยมของประชาชนในภาคอีสาน ต้องประเมินกันใหม่

เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยต้องรีบดำเนินการอยู่แล้ว ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ จะทำเป็นนิ่งนอนใจไม่ได้ ต้องรีบประเมินสถานการณ์โดยเร่งด่วน ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานเป็นอย่างไร รวมถึงทุกภาคควรต้องมีการประเมินกันใหม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ส่วนตัวมองว่าผลการเลือกตั้งซ่อมไม่สามารถสะท้อนภาพรวม หรือความนิยมต่อพรรคได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างหลากหลาย ผลการเลือกตั้งซ่อมไม่ได้วัดอะไร

แต่สิ่งหนึ่ง ต้องยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐมีความเป็นเอกภาพ มากกว่าพรรคเพื่อไทย อย่างน้อยทุกคนรู้ว่าแกนนำในการเลือกตั้งคือใคร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน