พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคพร้อมด้วย พระราชโอรส พระราชธิดา โดยเรือพระที่นั่งอรรคราช วรเดช จากท่านิเวศวรดิฐ เพื่อไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม

ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น มีพระราช โอรสและพระราชธิดาตามเสด็จด้วย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงอยู่ด้วยขณะทรงเป็นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ นอกจากนี้ยังมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพาร อีกจำนวนมาก โดยเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินผ่านทาง จ.เพชรบุรี

ต่อมาทรงนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ในการสร้างพระราชวังบนยอดเขา คือ “พระนครคีรี” หรือ “เขาวัง” กลางเมืองเพชรบุรี รวมทั้งพัฒนา จ.เพชรบุรี ด้วย

เมืองเพชรบุรีในอดีตมีพระมหากษัตริย์ทรงสร้างวังถึง 3 รัชกาลด้วยกัน ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 จึงถือว่าเพชรบุรีเป็นจังหวัดเก่าแก่ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะมีความเป็นมายาวนานถึง 3,000 ปี เห็นได้จากการค้นพบร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องมือหิน ลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว เป็นต้น

นักประวัติศาสตร์จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรอย่าง ดร.พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์ กล่าวถึงเพชรบุรีว่า เป็นเมืองที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียาวนานตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในดินแดนไทยตราบถึงปัจจุบัน ที่สำคัญยังเป็นดินแดนที่มีความผูกพันเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจากทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมยังต่างจังหวัด และทรงโปรดปรานเมืองเพชรบุรีเป็นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งทรงเลือกพื้นที่บนเขามหาสวรรค์(มไหสวรรย์) กลางเมืองเพชรบุรีเป็นที่สร้างพระราชวังที่ประทับ รู้จักกันในปัจจุบันว่า “เขาวัง” หรือ “พระนครคีรี” นับเป็นพระราชฐานที่ประทับแห่งแรกที่ได้สร้างขึ้นอย่างถาวรนอกเหนือจากพระบรมมหาราชวัง

ดร.พัสวีสิริอธิบายว่า สถาปัตยกรรมบนพระนครคีรีแสดงถึง พระราชนิยมของรัชกาลที่ 4 และสะท้อนถึงนวัตกรรมอันทันสมัยในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระราชวังบนยอดเขาโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ปรากฏอิทธิพลศิลปะตะวันตกผสมผสานกับศิลปะจีนและไทย น้อยคนนักที่จะทราบว่ารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองติดตั้งสายล่อฟ้าที่นี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และมีเจดีย์ทรงระฆังที่สร้างด้วยหินอ่อน ที่นำมาจากเกาะสีชัง จ.ชลบุรี อยู่อีกฟากฝั่งทะเลอ่าวไทย

ที่พระนครคีรี ยังมี หอชัชวาลเวียงชัย เปรียบเสมือนประภาคาร และเป็นสถานที่สำหรับทอดพระเนตรดาวพุธ โดยมีระบุในจดหมายเหตุของหมอบรัดเลย์

พระนครคีรีจึงเป็นพระราชวังที่แสดงถึงความทันสมัยและศิวิไลซ์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากเป็นสถานที่เสด็จฯ ประทับแรมแล้ว ยังใช้รับรองพระราชอาคันตุกะเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 กล่าวคือใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะที่สำคัญ คือดุ๊กและดัชเชสโยฮันเบรต แห่งเมืองบรันทวีต เจ้าผู้ครองนครรัฐของเยอรมนี โดยตอนนั้นเป็นรัฐโยฮันเบรต

บริเวณพระนครคีรีบนยอดเขายังมีพระที่นั่งต่างๆ อีกหลายองค์ อาทิ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ เป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ที่สุด สร้างแบบตึกฝรั่ง ใช้เป็นวังที่ประทับของรัชกาลที่ 4 มีห้อง พระบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องออกว่าราชการ ฯลฯ ภายในพระที่นั่งตกแต่งด้วยข้าวของมีค่าสวยงาม ส่วนใหญ่เป็นของจากยุโรป

ต่อมาที่สำคัญอีกองค์คือ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท นับเป็นพระมหาปราสาทสำคัญมีศิลปะแบบไทย สร้างอยู่ท่ามกลางตึกฝรั่งของพระที่นั่งต่างๆ แต่ดูไม่ขัดตา

การสร้างพระมหาปราสาทองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะหล่อพระบรมรูปของพระองค์เท่าขนาดจริงมาประดิษฐานไว้ แต่พอให้ฝรั่งปั้นรูปจำลองถวายให้ทอดพระเนตร ไม่ทรงพอพระราชหฤทัย ภายหลังจึงให้ช่างไทยสมัยนั้นปั้นหุ่นใหม่ ก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้หล่อพระบรมรูปนั้นขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน

เรื่องราวยังไม่จบเท่านี้ แต่มีรายละเอียดอีกว่าสุดท้ายพระบรมรูปนั้นทำไมจึงมาอยู่ที่ตรงนี้ได้

นอกจากนั้นยังมี พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ พระที่นั่งราชธรรมสภา สำหรับประกอบพระราชพิธีต่างๆ ทางศาสนา เป็นต้น

บนพระนครคีรียังมีการสร้างพระเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า พระธาตุจอมเพชร ในนั้นประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนยอดเขาที่ไกลสุดเป็นที่ตั้งของ วัดพระแก้วน้อย ที่บริเวณไหล่เขาทางด้านทิศตะวันออกมีวัดโบราณชื่อ วัดสมณ (สะ-มะ-นะ) ปัจจุบันชื่อทางการเรียก วัดมหาสม ณาราม หรือ วัดเขาวัง

ใกล้กับพระนครคีรี ยังมีเขาหลวง เป็นเขาสำคัญขนาดใหญ่ในเมืองเพชร มีถ้ำขนาดใหญ่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยา อาทิ พระพุทธไสยาสน์ รอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือหลวงพ่อถ้ำหลวง

สิ่งสำคัญภายในถ้ำที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์จักรี คือ พระพุทธรูปในศิลปะรัตนโกสินทร์ มีจารึกพระปรมาภิไธยและตราพระบรมราชสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 1-4 เชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปเหล่านี้ขึ้น เพื่อถวายพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 1-4

รวมทั้งภายในถ้ำเขาหลวงยังมีพระพุทธรูปขนาดหน้าตักประมาณ 1 ศอก ที่เรียงรายอยู่รอบผนังถ้ำจำนวนกว่า 100 องค์ เกือบทุกองค์มีจารึกพระนามพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์จักรี สมัยรัชกาลที่ 4-5 พระพุทธรูปที่มีจารึกพระนามพระราชวงศ์เหล่านี้น่าจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระราชวงศ์

จึงนับได้ว่าถ้ำเขาหลวงเป็นสถานที่ที่ปรากฏพระพุทธรูปที่มีจารึกพระนามพระราชวงศ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย

เรื่องราวของพระนครคีรีและรัชกาลที่ 4 ยังเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ ลาวโซ่ง หรือ ไทยทรงดำ ที่แต่เดิมอาศัยอยู่บริเวณสิบสองจุไท ประเทศจีน ถูกกวาดต้อนเข้ามาในไทยช่วงสมัยธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เพชรบุรี ชาวลาวโซ่งเหล่านี้เป็นแรงงานสำคัญในการสร้างทางขึ้นไปยังพระนครคีรี เป็นที่เล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน

ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรีออกมาอีกไม่ไกลมากนักเป็นที่ตั้งของ พระรามราชนิเวศน์ หรือ พระราชวังบ้านปืน ว่ากันว่ารัชกาลที่ 5 ทรงซื้อที่ดินจากราษฎรแล้วตัดถนนเข้าไป โดยลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ.2450 รัชกาลที่ 5 ทรงวางศิลาฤกษ์และพระราชทานนามไว้ก่อน พร้อมทั้งให้หล่อรูปพระนารายณ์ทรงธนู แต่ชาวบ้านเรียกพระนารายณ์ปืน ซึ่ง “ปืน” ในที่นี้หมายถึงลูกธนู หล่อเสร็จทรงตั้งพระทัยนำมาไว้ที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ปัจจุบัน แต่สร้างไม่เสร็จก็สวรรคตก่อน รัชกาลที่ 6 จึงมาสร้างต่อ

เมื่อรัชกาลที่ 6 สร้างเสร็จไม่เคยเสด็จฯ ประทับอย่างเป็นทางการ และไม่ได้ใช้เป็นวังอย่างสมบูรณ์ จะเสด็จฯ มาก็ต่อเมื่อมีการฝึกซ้อมเสือป่าเท่านั้นเอง

“กระแสความตื่นตัวในวัฒนธรรมตะวันตกของชนชั้นนำสยามช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เริ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะนั้นถือว่าชนชั้นปกครองยังมีท่าทีในการอนุรักษนิยม ด้วยเหตุที่ผู้นำฝ่ายอนุรักษนิยมเป็นพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินมาสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้านายและชนชั้นนำทั้งปวงก็เปลี่ยนมารับวัฒนธรรมตะวันตกได้โดยง่าย เป็นผลมาจากทรงแลกเปลี่ยนความรู้กับชาวตะวันตกมาเป็นเวลานานขณะที่ทรงผนวช”

“แนวความคิดและศิลปวิทยาการสมัยใหม่ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งานศิลปกรรมที่สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 4 มีความโดดเด่นกว่ายุคสมัยอื่น แนวความคิดที่สำคัญคือแนวสัจนิยมและมนุษยนิยม งานศิลปกรรมในพระราชประสงค์ เช่น งานจิตรกรรมฝาผนังพระอารามหลวง ไม่นิยมเขียนรูปไตรภูมิโลก แต่เขียนภาพและเรื่องราวอย่างสมจริง เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าจะเป็นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ หรือการสร้างพระบรมรูปที่สมจริง ขัดกับความเชื่อว่าไม่ควรกระทำ”

จะเป็นเช่น ดร.พัสวีสิริว่าไว้หรือไม่ เป็นคำถามที่ชวนค้นหาคำตอบอย่างยิ่ง !!!

ผู้ต้องการคำตอบขอเชิญร่วมทัวร์ “ทัศนา วัด-วัง เมืองเพชร ฟังเกร็ดเรื่องเล่า สองแผ่นดิน จ.เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์” พร้อมวิทยากร ผศ.ดร.พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์ วันที่ 18-19 ส.ค.นี้

เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. วันเสาร์ที่ 18 ส.ค. ออกเดินทางสู่ จ.เพชรบุรี ถึงอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เวลา 10.00 น. นั่งรถรางสู่ยอดเขาเพื่อเข้าชมหมู่พระที่นั่งที่สำคัญต่างๆ จากนั้นเดินเท้าไปยังพระธาตุจอมเพชร พร้อมชม วัดพระแก้วน้อย พุทธสถานประจำพระราชวังพระนครคีรี

เที่ยงรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพวงเพชร จนบ่ายโมง เดินทางไปยังวัดมหาสมณารามราชวรวิหาร ชมจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นด้วยเทคนิคการเขียนภาพแบบเพอร์สเป๊กทีฟอย่างตะวันตก อีกหนึ่งชั่วโมงเดินทางสู่ถ้ำเขาหลวง ตั้งอยู่บนเขาหลวง โดยสถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักผ่านวรรณคดีที่สำคัญ

เช่น นิราศเมืองเพชร ของสุนทรภู่ และนิราศเขาหลวง ชมพระพุทธรูปประจำแผ่นดินทั้งหมด 4 องค์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 1-3 และของส่วนพระองค์ พระพุทธรูปแต่ละองค์มีจารึกพระปรมาภิไธยที่ฐาน

15.30 น. เดินทางไปยัง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และรับประทานอาหารเย็นเวลา 17.00 น. ที่ร้านปลาทู เรสเตอรองท์ ก่อนเข้าพักที่ IBIS HUA HIN

สำหรับวันอาทิตย์ที่ 19 ส.ค. เริ่มตอนเช้า เดินทางไปยังวัดห้วยมงคล ที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นไปยังเจดีย์ทุ่งเศรษฐี โบราณสถานสำคัญตั้งอยู่ติดเขานางพันธุรัต ชมฐานของสถูปในวัฒนธรรมแบบทวารวดีที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วจึงเดินทางไปยังเมืองเพชรบุรีตอนเวลา 10.45 น.

เที่ยงรับประทานอาหารกลางวันหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงไปพระรามราชนิเวศน์ หรือพระราชวังบ้านปืน ช่วงบ่ายสองครึ่ง แวะซื้อของฝากของเมืองเพชรบุรี จากนั้นบ่ายสามไปวัดกุฏิบางเค็ม วัดเก่าแก่สมัยอยุธยา มีโบสถ์ไม้สักแกะสลักทั้งหลังเป็นเรื่องทศชาติชาดก และเรื่องราวจากวรรณกรรมจีนชื่อดัง “ไซอิ๋ว” แห่งเดียวในประเทศไทย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ราคาค่าทัวร์อยู่ที่ 5,800 บาท ติดต่อได้ที่ มติชนอคาเดมี Inbox : Facebook Matichon Academy โทร. 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124 หรือโทร. 08-2993-9097, 08-2993-9105 และไลน์ : @matichonacademy

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน