เทอร์มาจไฮฟู่เรื่องต้องรู้ของคนกระชับผิว

รายงานพิเศษ – ปัจจุบันเรื่องความสวยความงาม และการชะลอวัยกลายเป็นเรื่องสำคัญของหลายคน ขณะที่วิทยาการใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ประธานวิชาการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคสมัยนี้การยกกระชับผิวหน้าและผิวหนังบริเวณร่างกายในทุกส่วนสัดให้ดูอ่อนเยาว์เป็นเรื่องใกล้ตัว สำหรับในวงการแพทย์ผิวหนังสมัยใหม่ ความแพร่หลายไม่ได้หยุดเพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็ให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน

เทอร์มาจ (THERMAGE) เป็นหนึ่งในวิธีการกระชับผิวและรักษาผิวหนังที่หย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้พลังคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ทำให้เกิดความร้อนสู่ใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เทอร์มาจจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ บริเวณที่มีไขมันเฉพาะจุด ได้ผลดีในบริเวณที่หย่อนคล้อยมากๆ กระชับหน้า ให้ผิวกระชับยืดหยุ่น เรียบเนียน ลดริ้วรอยบริเวณใบหน้า เหนียง แขน ขา และหน้าท้อง ส่วนไฮฟู่ อัลตราซาวด์ (HIFU ULTRASOUND) นั้นใช้หลักการพลังงานเสียง HIGH-INTENSITY FOCUS ULTRASOUND ให้เกิดความร้อนไปกระตุ้นคอลลาเจน เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ไม่มีไขมันสะสม

.นพ.วรพงษ์กล่าวต่อว่า โดยหลักการ จำง่ายๆ ว่าเทอร์มาจจะเห็นผลชัดเจนในเดือนที่ 3 ของการรักษา แต่ขึ้นอยู่กับสภาพของผิวด้วย ซึ่งจะเห็นผลนาน 1-2 ปี ส่วนไฮฟู่ อัลตราซาวด์ ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะเห็นผลในการรักษา โดยในระหว่าง 2-4 เดือนแรกจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

โดยทั้งสองวิธีเป็นพังผืดของหนังแท้ ให้สร้างใหม่โดยใช้เครื่องมือใหม่ในการแพทย์ ให้พลังงานความร้อนลงสู่หนังกำพร้าลงไปข้างล่างผ่านเส้นใยผิวหนัง ไปกระตุ้นเพื่อสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา

ทั้งนี้ โดยหลักการสามารถเลือกทำทั้งสองวิธีได้ในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละวิธีก็จะมีผลข้างเคียง การไหม้ของผิวหนังแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 คือจะเห็นริ้วรอยแดงๆ ที่หนังกำพร้า ระดับที่ 2 จะเห็นตุ่มน้ำ ถ้าแตกจะเห็นน้ำเหลืองไหลออกมา ระดับลึกลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทั้งนี้ ในระดับ 2 หรือในระดับที่ 3 มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ ส่วนในระดับที่ 1 อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวในระยะหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในการรักษาโรคทุกโรค โดยเฉพาะทางด้านความสวยความงาม ผลของการรักษาจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความรู้ความสามารถของแพทย์ 2.ประสิทธิภาพของเครื่องมือและยารักษา และ 3.ตัวผู้ที่มารับการรักษาต้องปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

.นพ.วรพงษ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ต้องใช้ดุลพินิจของตนเองตรวจสอบประวัติแพทย์ที่จะมารักษา ว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันในแพทยสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็มีข้อมูลให้เลือกตัดสินใจ โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.dst.or.th ได้ถูกต้องและมีความ น่าเชื่อถือมากที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน