คอลัมน์ เป็นแม่ไม่ง่าย

“เมื่อแม่ต้องรับมือกับมะเร็ง”

โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

เป็นแม่ไม่ง่าย – ปกติเราเป็นคนมีรอบเดือนเยอะมากตั้งแต่วัยรุ่น รอบเปลี่ยนผ้าอนามัยสั้นมาก 1-2 ชม.ก็เต็มแล้ว เป็นครั้งละราว 5-7 วัน ปวดท้องมากจนต้องหยุดเรียนนอนพักที่บ้าน ปวดทีงอตัว ขาไม่มีแรงเดิน เดินไม่ไหวเลย

หลังจากมีลูกคนแรก อาการปวดประจำเดือนทุเลาลง จำนวนวันก็ลดลงเหลือ 3-5 วัน รอบเปลี่ยนยาวขึ้น 4-5 ชม. ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเราคงปกติเหมือนเพื่อนละ คงไม่มีอะไรน่าห่วง

มาจนกระทั่งท้องหมออัลตร้าซาวน์เจอติ่งเนื้อในมดลูก แต่หมอก็บอกว่ารอก่อนว่าจะโตขึ้นไหม ปรากฏว่าไม่ได้โตมากขนาดราว 2-3 เซ็น หมอเลยไม่กังวล หลังคลอดลูกคนที่สี่ หมอผ่าคลอดเพราะตอนนั้นความดันสูงมากและมีภาวะรกเกาะต่ำ ตอนนั้นก็เห็นติ่งเนื้อแล้ว แต่หมอก็ยังรู้สึกว่าไม่กังวลเลยเอาไว้ก่อน อาการเราค่อนข้างแย่ หมอเลยบอกให้กลับไปดูแลลูกและดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อน ดูอาการไปก่อน ค่อยมาติดตามดูอีกที คอยสังเกตตอนประจำเดือนมาครั้งต่อๆไป ว่าปกติไหม

พอมาเลี้ยงลูกเราก็ทุ่มเทความสนใจไปที่ลูก ประกอบกับ ประจำเดือนกว่าจะมาก็ผ่านไปหลังคลอดหกเดือน เราก็เหมือนลืมเรื่องนี้ไปเลย พอประจำเดือนมาก็มาตามปกติไม่ได้มามากอะไร เราก็ต้องทำงานอื่นๆ เลยไม่ได้สังเกตเรื่องนี้อีก

จนกระทั่ง เรามีอาการโรคกระเพาะ รักษาหลายปี ท้องอืด ปวดแน่น ร้าวไปถึงหลัง เหมือนไส้มันจะบิด หายใจไม่ทั่วท้อง หมอก็จะให้ยารักษาโรคกระเพาะมา เราก็จะมีหมอที่เราประจำ แต่บางทีถ้าไม่เจอหมอประจำเราก็จะได้เจอหมอคนอื่น วันนั้นเราเจอหมอประจำไม่มาเราก็ถูกส่งต่อไปให้หมออีกคนดู เป็นหมออายุรกรรม หมอก็ถามว่าเคยส่องกล้อง หรือกลืนแป้ง(เป็นการตรวจรักษาโดยให้ผู้ป่วยกลืนแป้งแบเรียมซึ่งเป็นสารทึบแสง เพื่อเอกซ์เรย์สำรวจดูภาพภายในทางเดินอาหาร)ไหม

คุณหมอก็ส่งไปกลืนแป้งก่อน แล้วเอกซ์เรย์ พบแผลในกระเพาะใหญ่ที่นูนมาเหมือนแผลเป็น เป็นแผ่น นูนขึ้นมา เลยลองให้กินยารักษาแผลในกระเพาะโดยเปลี่ยนจากยากเดิมที่เคยกินมาให้ยาใหม่เป็นยาที่เน้นการฆ่าเชื้อในกระเพาะ

เดือนหนึ่งผ่านไป เราก็ไปตรวจตามที่หมอนัดอีกที หมอก็ซักประวัติใหม่ เราท้องผูกบ่อย กินของหมักดองเยอะ หมอสงสัยในลำไส้ เลยอยากนัดส่องกล้องทางลำไส้ นัดไปอีกสองเดือน เราก็เริ่มท้องอืดขึ้นเยอะปวดมาก เราก็ไปหาใหม่ หมอก็ลองส่งไปส่องกล้องที่กระเพาะอาหาร และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ตอนนั้นหมอบอกว่าเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจากแผลทำให้อักเสบและเป็นแผล เป็นเนื้องอกที่สามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งได้ จะรักษาโดยให้ยาทางเส้นเลือดดำเหมือนคีโม แต่อย่าเพิ่งกังวล หมอก็พูดดีกับเราไม่อยากให้เราเครียด

แล้วพอดูประวัติ ไปเจอเนื้องอกเดิมที่มดลูก เลยนัดไปสูติอีกทีเพื่อดูก้อนที่มดลูกนี้ หลังจากนั้น หมอสูติก็ตรวจภายในและซาว พบว่า โตขึ้นมาเป็น 6 ซม. น่าจะมีบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เนื้อนี้โตจนน่ากังวล ก็แนะนำให้รับคีโมมีทางเลือกที่แนะนำอีกทางคือส่องกล้องตัด

หมอก็ให้เราเตรียมตัวงดของหมักดอง แอลกอฮอล์ เน้นโปรตีน ก่อนเข้ารับคีโม ตอนนั้นแม้หมอไม่พูดแต่เรารู้แล้วนี่คือมะเร็งแน่นอน คิดไปไกลมากแล้วว่าเราตายแน่ คนอื่นเขาเป็นที่เดียวเป็นสองที่เลย หมอก็เห็นเรากังวล ก็อยากให้เราสบายใจก่อนเลยไม่ได้พูดคำว่ามะเร็งออกมาตรงๆ (เพราะตอนนั้นกังวลเรื่องลูกที่มีอาการออทิสติกแล้ว)

พอมาให้ยาคีโมครั้งแรกเราเข้าไปคนเดียวเราก็กลัว เราก็นั่งรถเข็น เปิดเส้นที่พับแขนด้านในด้วยเข้มขนาดใหญ่สุด เดินยาผ่านสายน้ำเกลือ ตอนยาเดินมันจะร้อนมาตามเส้นเลือด ขึ้นมาตามแขน กลิ่นยาขึ้นจมูกเหม็นมาก และปวดมาก ปวดเหมือนเส้นเลือดจะแตก ปวดแสบปวดร้อน

ใช้เวลานานมาก ราวสาม ชม. เป็นเวลาที่ทุกข์ทรมานมาก เราก็คลื่นไส้ ผะอืดผะอม ร้อน แสบจนต้องบอกพยาบาล พยาบาลก็มาปรับให้ยาเดินช้าขึ้น เอากระโถนมาวางไว้ที่ตัก พอให้เสร็จมันลุกไม่ได้ หมดเรี่ยวแรงจนต้องหิ้วปีกขึ้นรถ

พอถึงบ้านก็กลับมาอาเจียนหนักมาก หมดไส้หมดพุง นอนนิ่งเป็นวัน เหมือนตัวเหมือนตามันหนักไปหมด ตัวร้อนวูบวาบ ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากรักษาแล้ว ทรมานมาก

แต่พอมองหน้าลูก เราก็ห่วงลูกกลัวถ้าเราไม่ยอมรักษาต่อ อาการอาจจะแย่ลงเดี๋ยว ไม่มีใครดูแลลูก เลยทำให้มีแรงฮึด ยอมไปต่อ หมอนัดคีโมสองอาทิตย์ครั้ง

ช่วงเวลาที่ให้คีโมนั้น ทรมานมาก กินข้าวไม่รู้รสเหมือนเคี้ยวกระดาษ ไม่ได้กลิ่นแต่เราก็พยายามจะกิน หมอให้กินข้าวปกติ เน้นโปรตีน เราทรมานทุกคำที่กิน แต่ก็พยายามเพราะไม่อยากให้กรดกัดกระเพาะ ผมร่วง ปากแตกลิ้นแตก ร้อนวูบวาบตลอดตอนกลางคืนก็ลุกมาสวดมนต์ ขออโหสิกรรมทุกคน ภาวนาขอทุกอย่างว่าอย่าเพิ่งให้เราเป็นอะไรไปเพราะเราเป็นห่วงลูก ลูกยังเล็กมาก

บางวันที่นัดคีโม ตรงกับวันกระตุ้นกระตุ้นพัฒนาการลูกก็มี เราก็ต้องไปขอร้องหมอที่ฝึกลูกว่าถ้าฝึกจบแล้วพี่ยังไม่มา ช่วยดูลูกแทนก่อนนะคะ เพราะเราต้องคีโมให้เสร็จก่อนเจ้าหน้าที่เขาก็เข้าใจ เห็นใจ พอเราคีโมเสร็จแล้ว ลูกก็จะเข้ามาจับมือ มากอดแม่ ถามว่าแม่ฉีดยามาเหรอ แม่เจ็บไหม คอยปลอบใจเรา

ช่วงเวลานั้นเวลาที่ดีที่สุดของวันคือช่วงเวลาที่ลูกเข้ามาอ้อน เข้ามากอด ลูกก็ติดเราเพราะเราเป็นคนเดียวที่เขารักและไว้ใจที่สุด ลูกเหมือนเป็นหมอคนหนึ่ง หมอที่เก่งที่สุด เพราะแค่กอดเราก็ดีขึ้นมาก มีกำลังใจ ชื่นใจ อยากรักษา อยากหาย อยากอยู่กับลูกนานๆ

พอคีโมครบหกครั้งแรกแล้ว ปรากฏว่าเนื้อที่อยู่ที่มด�ล��ูกดีขึ้น แต่ในกระเพาะอาหารเท่าเดิม หมอเลยบอกว่าจะปรับยาให้ คราวนี้เดินกลับบ้านได้เลย(จากก่อนหน้านี้แทบจะต้องหามกันออกไป) ตอนนั้นท้อมาก เพราะต้องรับต่ออีกหกครั้ง ได้ยินทีแรกใจแป้ว แต่คิดถึงลูกแล้วก็ ก็ฮึดสู้ เออวะ อีกหกครั้งเอง ซึ่งหกครั้งหลังดีขึ้นเพราะตัวยาเบาลง ทานข้าวได้มากขึ้น

หลังจากนั้น ตรวจดูอีกที ก็ส่องกล้องดูที่กระเพาะ ปรากฏว่าได้ผลดี เนื้อร้ายหดเล็กลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ก็นัดติดตามอาการที่หกเดือนครั้ง ไม่เคยพลาดอีกเลย จนทุกวันนี้อาการก็ไม่กำเริบอีก

สุขภาพโดยรวมตอนนี้ก็ดีขึ้น แม้ร่างกายจะไม่ได้แข็งแรงเท่าเดิมแล้ว แต่เราก็มาดูแลเรื่องอาหารการกินเรื่องการดำเนินชีวิต โดยหมอก็สะกดจิตไว้ว่า ถ้าไม่ดูแลตัวเองแล้วกลับไปเป็นอีกก็จะกลับไปรักษาทรมานอย่างนั้นอีกนะ แต่กำลังใจที่สำคัญที่สุดคือลูก เพราะเราอยากจะอยู่ดูแลลูกไปนานๆ ถ้าเราไม่อยู่ก็ไม่มีใครดูแลลูกได้ดีเท่าเราอีกแล้ว

คุณแม่ท่านหนึ่ง จ.ตรัง


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน