รีวิว Wolfenstein II: The New Colossus “พระเอก”…ในโลกแห่งความรุนแรง

โดย ปอลนาโช่

**เพื่อเป็นการแฟร์ๆ กับคนอ่าน จึงขอบอกก่อนเลยว่ารีวิวนี้จะให้น้ำหนักในเรื่องของ “เรื่องราว” และ “การเดินเรื่อง” มากกว่าระบบเกม (ตามความสนใจ, ความถนัดของผู้เขียน) ดังนั้นใครที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสกิลอาวุธหรือไอเท็ม อาจผิดหวังเล็กน้อย**

เนื้อเรื่อง (มีสปอยล์นิดหน่อย)

ผมขอข้ามเรื่องประวัติการพัฒนาซีรีส์ รวมไปถึงความต่อเนื่องจากภาคก่อน (Wolfenstein: The New Order) เพราะมีให้ค้นหาอ่านกันเพียบอยู่แล้วตามเว็บเกมต่างๆ ไปจนถึงวิกิพีเดีย โดยผมขอเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นภาคนี้แทนจะดีกว่านะครับ

ในโลกเกม The New Colossus นาซีเยอรมันคืออำนาจปกครองดินแดนอเมริกา ประชาชนทั่วไปต่างจำยอมใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฏหมายนาซีอันเข้มงวด หัวเมืองใหญ่หลายแห่งเหลือแต่ซากปรักหักพังจากสงคราม ทว่า หาใช่ทุกคนที่ยอมศิโรราบกราบกราน เพราะยังมีหน่วยต่อต้านขนาดเล็กถูกจัดตั้งขึ้นต่อกรกับทหารแห่งอาณาจักรไรซ์ที่ 3 โดยหน่วยเหล่านี้ก็กระจายตัวกันไปตามที่ต่างๆ (แต่ละหน่วยเล็กสุดๆ อ่ะครับ มีไม่กี่คนเอง ไม่รู้อยู่รอดมาได้ไง)

พระเอกของเรา William “B.J.” Blazkowicz (ขอเรียกว่า บีเจ) สังกัดกลุ่ม the Kreisau Circle (มีจริงตามประวัติศาสตร์นะเออ!) ก็ยังคงสู้รบไล่ล่าสังหารทหารเยอรมันเหมือนภาคก่อนๆ ซึ่งระหว่างเกม คนเล่นจะได้เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนมากมายในหน้าจอทีวี ทั้งจากฝั่งนาซี…ไปจนถึงท่าสังหารของฝ่าย “ตัวเอก” เรานี่เอง








Advertisement

ใช่แล้วครับ เกมนี้นำเสนอความเหี้ยมแบบชัดเจนกันไปเลย เลือดเนื้ออวัยวะปลิวว่อน แถมบีเจก็มักเชือดข้าศึกด้วยลีลาสุดเถื่อน…แต่หน้าตาเรียบเฉยเย็นชา (ดูตัวอย่างใบหน้าได้จากพวกภาพโปรโมตเกม) โดยเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ภาคก่อนๆ พอมาถึง The New Colossus ตัวเกมเลือกที่จะอธิบายที่มาครับว่า อะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้

ซึ่งผมถือว่าวิธีการเพิ่มฉากเล่าเรื่องวัยเด็กของบีเจนี่คือไฮไลท์สำคัญของ The New Colossus เพราะคนอย่างบีเจคงไม่โหดมาตั้งแต่เกิด เขาเองก็เป็นผลผลิตจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไป

การเลือกที่จะเพิ่ม “มิติ” ให้กับเกมยิง FPS สไตล์อนุรักษ์นิยม ยังพบเห็นได้ในอีกหลายฉากตลอดทั้งเกม ซึ่งบรรดา “ทีเด็ด” เหล่านี้ล้วนชวนให้คนเล่นขบคิด หรือก่อ “ปม” ขึ้นในจิตใจ ที่สำคัญมันทำให้ตัวเกมมันส์ขึ้นกว่าเดิมมากเลยครับ (ไม่งั้นก็เหลือแค่แบกปืนไล่ยิงตัวละคร AI ธรรมดา)

ขอยกตัวอย่างแสบๆ ที่พบเจอ โดยส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องที่ทีมงานใส่มุกตลกร้ายเข้าไปล้อเลียนการเมืองและลัทธิความเชื่อผ่านพวกนาซีและผู้นำคนสำคัญอย่างฮิตเลอร์ อันแรก เมื่อจักรวรรดินาซีกลายเป็นผู้ปกครอง รายการทีวีชื่อดังของเมกันก็ต้องทำรายการอวยแม่ทัพนายกองนาซีทั้งหลาย ประชาชนคนดูทั่วประเทศก็ต้องยิ้มแย้มส่งเสียงเชียร์กันอย่างปลาบปลื้ม ทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร…เจอฉากนี้เข้าไป…จอยในมือผมนี่สั่น!!

ด้านฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการหนึ่งเดียว แท้จริงคือคนกักขฬะที่หมกมุ่นอยู่กับการเขียนบทหนังเพื่อฉายภาพความดีงามของชนชาติอารยัน พร้อมกับสร้างภาพกลุ่มต่อต้านว่าเป็นกบฏ เป็นพวกไร้การศึกษาโหดร้าย ชอบเผาทำลาย อย่าง “บีเจ” ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่คู่ควรให้เห็นดีเห็นงามด้วย…หันมาเข้าข้างนาซีดีกว่า ทำนองนั้น…ผมเล่นผ่านฉากนี้แล้วถึงกับครางฮือ

สรุปในหัวข้อนี้ได้ว่า The New Colossus เลือกจะวางตัวเป็นเกมยิงที่เน้นหนักด้านเรื่องราว และก็ทำได้ดีมากเสียด้วยครับ

การนำเสนอ

ประเด็นนี้ต่อเนื่องจากข้างบน กล่าวคือ ด้วยพล็อตตามที่ผมเล่าไปนั้น ทีมงานเลือกที่จะเซอร์ไพรซ์ผู้เล่นแทบจะตลอดทั้งเกม…ใช่แล้วครับ ที่ผมกำลังจะบอกคือ ตัวเกมมีหักมุมเพียบ ฉะนั้นอย่าให้ใครเฉลยฉาก “ช็อก” ทั้งหลาย ก่อนที่คุณจะได้เล่นเองเป็นอันขาด

นอกเหนือจากบรรดาคัตซีน(ที่ดูแล้วอ้าปากค้าง) เกมยังเสริมธีมย้อนยุคด้วยซีดีเพลงวงดนตรีเก่าที่ตามเก็บได้ระหว่างตะลุยด่าน แถมเปิดฟังได้ด้วย บางเพลงก็เพราะดีเหมือนกัน ผมเปิดฟังบ่อยเลย เวลาพักเล่นแล้วลุกไปเติมเครื่องดื่ม…ผมหมายถึงกาแฟน่ะ

ระบบการเล่น

ยากครับ! เกมยากเลยแหละ โหมดปกติของเกมนี้น่าจะเทียบเท่า Hard mode ของเกมอื่นๆ ทว่าทีมงานเลือกวิธีจัดการโครงสร้างเกมอย่างชาญฉลาด นั่นก็คือซอยระดับความยากออกเป็น 6 ระดับ (ระดับ 7 ต้องปลดล็อกก่อน) โดยเปลี่ยนแปลงได้ตลอดระหว่างเกม พร้อมด้วยความสามารถในการเซฟได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ถือเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้เล่นชั้นดีให้บุกฝ่าฟันจนจบเกมได้แบบไม่มีปัญหา ใครฝึกฝนจนชำนาญก็ขยับไปเล่นแบบยากๆ ได้ตามใจต้องการ

อย่างไรก็ตาม การออกแบบบางอย่างยังคงสร้างปัญหาไม่แตกต่างจากภาคก่อน นั่นคือการเล่นที่ถูกขัดจังหวะบ่อยครั้งจากปัจจัยเรื่องไอเท็ม เพราะมันถูกแบ่งกระจายยิบย่อยเกินไป แถมต้องเล็งให้ตรงตอนก้มหยิบ ทำให้บางครั้ง ผู้เล่นจะพบตัวเองวิ่งก้มหน้าหากระสุน, กล่องยา ไปทั่วดงควันปืน…ดูไม่จืดเลยครับ อีกเรื่องก็คือการใช้ระบบตัวเลขบอกค่าชีวิตกับชุดเกราะ เมื่อถูกโจมตีก็จะลดลง โดยหน้าจอไม่ค่อยแสดงสถานะบาดเจ็บให้เห็น (ไม่เหมือนเกมอื่นที่เวลาโดนยิง จอจะแดงหรือจอสั่น) ทำให้บ่อยครั้งต้องโดนไปก่อนซักพักถึงรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าเข้าแล้ว

ในส่วนของอาวุธ บีเจจะเริ่มต้นด้วยขวาน กับปืนไม่กี่ชนิด ก่อนได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ในภายหลัง โดยแต่และชนิดสามารถอัพเกรดได้เล็กน้อย ตรงนี้ผมมองว่าเป็นส่วนเสริมมากกว่าองค์ประกอบหลัก เพราะมันไม่ค่อยส่งผลกระทบชัดเจน และไม่ได้ลุ่มลึกในเชิงรายละเอียดอะไรมากนัก (ปืนแต่ละแบบอัพเกรดได้แค่ 3 อย่างเท่านั้นเอง เช่น เก็บเสียง ติดกล้อง เพิ่มดาเมจ ฯลฯ) ทั้งนี้ ระบบเล็งยังต้องอาศัยการฝึกให้ชำนาญเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อประทับเล็ง แล้วต้องการส่ายศูนย์เล็ง(เคลื่อนหาเป้าหมาย) มันจะเริ่มจากสปีดช้าก่อนครับ แล้วค่อยเร่งเร็ว (ไม่ใช่ความเร็วคงที่ตลอด) ทำให้ตอนเล่นใหม่ๆ จะยากมากเลยทีเดียว (อ้างอิงจอย PS4 ไม่ใช่เมาส์พีซี)

ในเกมยังมีระบบ Perk โดยเมื่อบีเจทำกิจกรรมอะไรบ่อยๆ ก็จะเกิดเป็นความชำนาญ พอเก่งถึงจุดหนึ่งก็สามาถปลดล็อกความสามารถเพิ่มเติมได้ เช่น ปาขวานเฉาะหัวศัตรูครบ 10 ครั้งก็จะได้สกิลเพิ่มจำนวนขวานที่ถือติดตัวไปได้อีกหนึ่งอัน เป็นต้น

เมื่อเล่นไปถึงกลางเกม บีเจจะพบเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เขาได้ความสามารถพิเศษมาติดตัวแบบถาวร โดยเลือกเอาจาก 3 ประเภท คือ ปรับร่างกายเพื่อมุดท่อเล็กๆ ได้, แข็งแกร่งสุดๆ วิ่งชนกำแพงได้ และ กระโดดสูง แต่เมื่อเอาไปใช้ในเกมแล้วจะพบว่า มันถูกใช้เป็นแค่น้ำจิ้มเพื่อให้บีเจผ่านอุปสรรคระหว่างเดินทางผ่านฉากแค่นั้นเอง แถมฉากก็สร้างมารอสกิลทั้งสามแบบอยู่แล้วด้วย ตรงส่วนนี้เลยยังไม่เห็นผลกระทบอะไรมาก อย่างไรก็ดี สกิลทั้งหมดนี้สามารถเอาไปใช้ต่อสู้ได้ครับ แต่กว่าจะได้มาก็ค่อนเกมเข้าไปแล้ว…ดังนั้น โอกาสดีที่สุดก็คือเอาไปใช้ในฉากล่าหัวแม่ทัพนาซี!

โดยฉากที่ว่าก็คือ มิชชั่นล่าหัวแม่ทัพทั้ง 16 นาย ซึ่งเล่นได้ต่อเนื่องแม้จบเกมไปแล้ว ถือเป็นโหมดเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ที่เสียเงินซื้อเกม (แต่ทุกนายจะประจำการในฉากเดิมๆ ที่เราเล่นผ่านไปแล้วนั่นแหละครับ)

ภาพ/เพลง

งานภาพในเกมนี้สวยสุดๆ การออกแบบฉากบ้านเมืองเมกาภายใต้การยึดครองของเยอรมันก็ทำได้ดี แต่ที่เด่นจริงๆ คือเพลงประกอบในหลายช่วงในเกม โดยเฉพาะฉากสู้รบ เพราะมันไม่ใช่เพลงที่เปิดขึ้นมาประกอบแบบในหนัง แต่เป็นตัวละครในฉากเกม เล่นเพลงแจ๊ซกันสดๆ ครับ! ลองนึกถึงวงดนตรีวอร์บอยที่โซโล่กีตาร์ปลุกใจเพื่อนพ้องในหนังแมดแมกซ์ก็ได้ครับ แบบนั้นแหละ ซึ่งเทคนิคแบบนี้ผมถือว่าเจ๋งมาก มันให้ความรู้สึกครึกครื้นวายป่วงแบบพวกขบถอย่างแท้จริง ลองนึกภาพ “บีเจและเพื่อนพ้องโดนโอบล้อม ห่ากระสุนระดมยิงเข้ามาอย่างดุเดือด สหายร่วมรบผิวสีงัดเครื่องเป่าขึ้นมาเล่นเพลงแจ๊ซ แล้วเสียงนั้นก็ดังกระหึ่มเป็นเพลงประกอบฉาก ฝ่ายบีเจฮึดสู้ โถมเข้าหาพร้อมลั่นไกตอบโต้!”

สรุป

น่าเสียดายที่ผมพูดถึงฉากหักมุมทั้งหลายในเกมไม่ได้ เพราะอยากให้ไปเล่นกันเอง แต่บอกได้เลยครับว่าเซอร์ไพรซ์พวกนั้นคือจุดดีที่สุดในเกมนี้แล้ว ตอนผมเล่นถึงฉากจบ… ผมลองหลับตาแล้วนึกค้นหาสิ่งประทับใจในเกม แว้บแรกที่นึกออกก็คือภาพอึ้งๆ ที่เกมเฉลยระหว่างเล่นนั่นแหละครับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากันเพลย์ของเกมนี้ต่ำกว่ามาตรฐานแต่อย่างใด จริงๆ มันทำออกมาดีเลยล่ะ แต่หาก Wolfenstein II: The New Colossus ถูกทำออกมาเป็นเกมยิงที่แปะเนื้อเรื่องแย่ๆ มาด้วย ผมคงไม่ประทับใจเท่านี้

คะแนน 4/5

ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก PC&A และ Sony Interactive Entertainment มา ณ โอกาสนี้

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน