“นทธี ศศิวิมล”

เมื่อตอนฉันเด็กๆ บ้านของฉันอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกแห่งหนึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำที่มีคนเข้าออกวุ่นวายเกือบตลอดทั้งวัน หัวถนนฟากซ้ายเป็นวัด ฟากขวาเป็นบ้านหลังใหญ่ ตัวบ้านตั้งอยู่ในพื้นที่สวนผลไม้เล็กๆ ทีมีทั้งชมพู่ มะปรางหวาน มะม่วง ขนุน น้อยหน่า และกล้วยสารพัดสายพันธุ์ บ้านหลังนี้เองที่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ บางอย่าง

บ้านหลังนั้น เป็นบ้านไม้สองชั้น เป็นบ้านที่ยายอบหญิงอายุ 65 ปี อาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สามีแกตายไปนานแล้ว ส่วนลูกสาวสามคน ต่างแยกย้ายแต่งงานแยกบ้าน ไปดูแลลูกและสามี แต่ก็กลับมาดูแลแม่เป็นพักๆ

ยายอบมีเงินที่ลูกคนอื่นๆ ส่งเสีย จึงไม่ไปทำงานอื่นๆนอกจากทำขนมง่ายๆขายแก้เบื่อ และอยู่บ้านดูแลลูกชาย ลูกยายอบช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นพอได้ แต่มักทำอะไรแปลกๆ ที่คนทั่วไปไม่ทำกัน และบางอย่างก็ทำให้ยายอบอับอาย เช่นถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงใน เปิดหน้าต่างชั้นสองโล่ง แล้วมายืนเต้นอยู่ที่หน้าต่างราวกับว่ากำลังแสดงอยู่หน้ากล้องหรือบนเวทีละครที่มีคนดูมากมาย

ถ้ายายอบอยู่บ้าน แกจะคอยฟังเสียงเพลงที่ลูกชายเปิด ถ้าได้ยินเมื่อไหร่ จะรีบเดินขึ้นมาปิด และด่าลูกเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน ต้องอาศัยเวลาที่แกทำขนมบัวลอยใส่ตะกร้าปั่นจักรยานออกไปขายที่ตลาด ลูกชายแกถึงจะได้ออกมาเต้นอย่างที่ใจชอบ

ฉันกับน้องในวัยเด็ก เป็นเด็กผู้หญิง เวลาที่ลูกยายอบออกมาเต้นแร้งเต้นกาในชุดวาบหวิวกางเกงในตัวเดียวแบบนั้น แม่ก็จะมาต้อนเข้าบ้าน ไม่ยอมให้ดู แต่เราพี่น้องก็ยังได้ยินเพลง และจำท่าทางของชายคนนั้นได้ ร่างผอมบางผิวขาวซีดอย่างคนไม่เคยโดนแดด ริมฝีปากยิ้ม เต้นระบำอย่างสนุกสนาน

บางทีก็ด้วยท่วงท่าของนักบัลเลต์ แตะขยับปลายเท้าพลิ้วหมุนไปรอบตัว อย่างกับจะเลื่อนลอยได้ บางครั้งก็เป็นจังหวะลีลาศเต้นรำ ไกวมืออยู่ในอากาศเหมือนกำลังโอบใครบางคนไว้ในอ้อมแขน

ฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่ว่ากันว่าลูกยายอบไม่เคยพูดคุยกับใคร อันที่จริงก็ไม่เคยมีใครได้ยินเขาพูดเลยตลอดทั้งชีวิต อาจจะเพราะอาการทางสมอง หรือไม่ก็เป็นใบ้ แต่หูเขาได้ยินทุกอย่าง ครั้งหนึ่งแม่มัววุ่นกับลูกค้าในร้าน ตอนที่ลูกชายยายอบเปิดการแสดงที่ริมหน้าต่าง ฉันกับน้องเลยนั่งดูกันเพลิน พอเขาเต้นจบ ฉันกับน้องพากันตบมือ เขาก็หันมามอง ยิ้มสดใส ก่อนโค้งคำนับอย่างงาม แล้วเลื่อนม่านหน้าต่างปิดไป

กลางคืนบางคืน เวลาที่เราเปิดหน้าต่างฝั่งบ้านยายอบ เราจะเห็นเงาร่างของเขาเต้นรำอ่อนหวานอยู่ในห้องโดยปรากฏเป็นเงาผ่านม่านหน้าต่าง เสียงเพลงแม้จะแผ่วเบาเพียงใด แต่ยายอบก็จะมาถึงเสมอถ้าแกอยู่บ้าน การแสดงรอบดึกจึงไม่เคยแสดงจนจบ มีเพียงเสียงบ่นด่าด้วยความเอือมระอาของยายอบปิดท้ายโชว์ทุกทีไป

จนกระทั่ง ปีที่ฉันกำลังจะย้ายบ้านไปอยู่นอกตัวเมือง ก็มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านของยายอบ นั่นคือพี่สาวคนโตของบ้านนั้นกลับมานอนที่บ้าน แล้วเจอน้องชายคนเล็กเดินแก้ผ้าในบ้าน และเดินมาเปิดหน้าต่างชั้นสองเพื่อจะมาเต้นที่เดิมของแก พี่สาวโกรธและอายมาก เลยมาฉุดกระชากลากถู โดยมียายอบคอยช่วยด่าเสริม ลูกชายยายอบโดนด่าและโดนตีจนเจ็บ นั่งขดตัวร้องไห้อยู่คนเดียวและถูกขังไว้ในห้องทั้งคืนจนเช้า

ยายอบมาเปิดห้องลูกดูตอนเช้าจึงพบว่า ลูกชายแกตายเสียแล้ว นอนตายอยู่ที่พื้นห้องเฉยๆโดยไม่มีร่องรอยอะไรเลย เหมือนหมดใจจะอยู่ไปเสียเฉยๆ อย่างงั้น

อย่างไรก็ดีหลังงานศพลูก ยายอบไม่เคยหยุดที่จะโทษตัวเองว่าเป็นเหตุทำให้ลูกน้อยใจจนตาย แกเอาแต่ร้องไห้และพูดวนไปวนมาว่าแม่จะไม่ว่าอีกแล้วลูกเอ๋ย แม่ขอโทษ และเริ่มเก็บตัวมากขึ้น

ความแปลกประหลาด เริ่มตรงที่ ยายอบเริ่มเข้ามาจัดห้องลูกให้เหมือนที่ยังมีชีวิตอยู่ หนำซ้ำยังเปิดเพลงที่ลูกชอบไว้ทุกๆ คืน ในเวลาเดิมๆ นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนั้นจนเช้า ลูกสาวคนอื่นๆ ที่ผลัดกันมาดูแลพยายามชวนแม่ไปอยู่ด้วย แต่แกก็ไม่ยอมไป ยืนยันจะอยู่ที่นี่

ในคืนหลังจากนั้น เรื่องน่าขนลุกก็เริ่มเกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีคนเห็นร่างเงาบางคนเต้นรำไปมาอยู่ในห้องนั้นและตรงกรอบหน้าต่าง เป็นเงาที่ทาบลงบนผ้าม่านผืนสีขาวผืนเดิมที่ฉันกับน้องเคยเห็นอยู่เสมอ

คราวนี้แม่ไม่ยอมให้ฉันกับน้องออกมาในตอนกลางคืนกว่าเคยและเร่งการย้ายบ้านให้เร็วขึ้นอีก กระนั้น ก็ยังมีบางคืนที่ฉันกับน้องแอบเปิดหน้าต่างห้องนอนในตอนที่เพลงดังขึ้น เพื่อเฝ้ารอดูร่างเงาของลูกยายอบออกมาเต้นรำอีกครั้งด้วยความระทึกขวัญ

คืนก่อนย้ายบ้าน เราเห็นร่างนั้นเต้นบนปลายเท้าอ่อนช้อยงดงามยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ตาย ตั้งอกตั้งใจกับโชว์เสียจนเราอดตบมือให้ไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงยายอบพูดดังลอยข้ามถนนแคบๆ กลางดึกว่า “เก่งลูกเก่ง หนูเต้นเก่งมากเลยลูก” และตามด้วยเสียงตบมือเบาๆ

เราย้ายออกมาจากบ้านนั้น แต่ความทรงจำในคืนนั้นยังคงชัดเจน หลอกหลอนปนเศร้าระคนสยองพองขนทุกครั้งที่นึกถึง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน