“นทธี ศศิวิมล”

สองพี่น้องได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็รีบหนีออกมา เก็บข้าวของแล้วเข้ากรุงเทพฯ ไม่หันหลังกลับไปที่บ้านเดิมอีก

ทั้งสองพากันหาห้องเช่า ในหอพักย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านอย่างหน้ารามฯ แออัด ทึบทึม ซอมซ่อ ไม่มีใครสนใจใคร แทนศีลออกไปหางานรับจ้างทำตามแต่จะหาได้ ในขณะที่ทานบดีไม่กล้าออกไปไหน ยึดตู้เสื้อผ้าในห้องเป็นที่ซ่อนจากทุกสิ่งบนโลก และจะออกมาเมื่อพี่สาวกลับมาเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ความเศร้าและเจ็บปวดก็เอาชีวิตของทานบดีไปในที่สุด เขาสิ้นลมหายใจไปอย่างเงียบๆ ในตู้เสื้อผ้าที่อบอุ่นกรุ่นกลิ่นน้ำยาซักผ้า

แทนศีลเปิดมาเจอน้องที่หมดลมแล้ว ใบหน้าซีดเซียวยังมีคราบน้ำตาเกรอะกรัง เธอลูบหัวน้องด้วยความรัก กอดเนื้อตัวที่ผอมแห้งและเย็นชืดแนบแน่นยาวนาน ก่อนค่อยๆคลายอ้อมกอด อุ้มตัวน้องมาวางบนเตียงแล้วใช้ผ้าปูที่นอนห่อร่างเขาไว้อย่างมิดชิด ก่อนค่อยๆ อุ้มกลับเข้าไปวางในตู้เสื้อผ้าในท่าเดิม ขนเสื้อผ้าตัวเองออก แล้วปิดไว้แน่นหนา

แทนศีลไม่อาจทำความเข้าใจได้กับความตายของน้อง คนคนเดียวบนโลกที่มีค่ากับเธอมากที่สุด เธอยังคงออกไปทำงานและกลับมาพูดคุย กินอาหารร่วมกับน้องในห้องว่างเปล่าและตู้เสื้อผ้าที่ปิดตาย

หญิงสาวเดินไปที่สวิตช์ไฟข้างประตู กดปุ่มปิดเบาๆ ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด หลังจากนั้นก็เดินกลับมานอนที่เตียง

เสียงพัดลมเพดานดังวืดๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่บนเพดาน

แทนศีลดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ เธอเป็นคนขี้หนาว แต่น้องชายเป็นคนขี้ร้อน ถ้าไม่เปิดพัดลมจะนอนไม่หลับเอาเลย

“วันนี้เป็นไงบ้างทานมีใครมายุ่มย่ามอะไรรึเปล่า”

“ไม่มีหรอกพี่แทนดีแล้วล่ะ”

“อืม…ใช่ ดีแล้วล่ะ”

แทนศีลขยับผ้าห่มให้กระชับขึ้น อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ผ้าห่มผืนเดียวดูท่าจะเอาไม่อยู่ เธอขยับลุกขึ้นหยิบผ้าห่มของน้องที่ยังคงพับเรียบร้อยที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มทับผืนเดิมอีกชั้นหนึ่ง

“พี่แทน…”

“หืมม..”

“จำตอนนั้นได้มั้ย ตอนที่แม่พาไปเที่ยวน้ำตกแล้วพวกเราเดินป่าเลาะน้ำตกกลับกันเองแล้วหลงทางน่ะ ที่ใหญ่กับแหวนไปด้วยไง”

แทนศีลนอนคิดอยู่แป๊บหนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา “จำได้สิ ตลกจะตาย วิ่งกันป่าราบเลย แม่งี้ขำจนแทบลงไปนอนกลิ้งเลย” แทนศีลขำออกมาอย่างอดไม่ได้

“พี่แทนแหละตัวดี เป็นพี่คนโตแท้ๆ วิ่งนำเลย” ทานบดีพูดพลางหัวเราะพลางจนสำลักน้ำลายตัวเอง ไอค่อกๆ แค่กๆ แล้วก็ขำต่อ

สองพี่น้องพากันพูดคุยรื้อฟื้นความหลังอันแสนสุขนั้นกันอย่างสนุกสนานเหมือนที่เคยทำเสมอยามอยู่ไกลบ้าน

ภาพเหล่านั้นสว่างไสวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของห้องเช่าเล็กๆ ในซอกซอยลึกลับ ที่น้อยคนนักจะคุ้นชื่อ

ท่ามกลางแสง เสียง สีสัน และความวุ่นวายของชีวิตคนกลางคืน ในเมืองหลวงที่มีชื่อเหมือนสวรรค์…

ท่ามกลางความมืดมนไร้ทิศทางที่สองพี่น้องช่วยกันกลบเกลื่อนมันไว้อย่างแนบเนียนด้วยความทรงจำงดงามเหล่านี้

สว่างไสวอย่างสิ้นหวังและเศร้าสร้อย

วันแล้ววันเล่า…คืนแล้วคืนเล่า…

จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เลยกำหนดจ่ายค่าเช่าห้อง เจ้าของหอพักเดินเข้ามาไขกุญแจห้อง แล้วพบร่างเปื่อยยุ่ยแห้งเหี่ยวของแทนศีลแขวนห้อยอยู่บนพัดลมเพดานอย่างน่าสลดหดหู่ บนโต๊ะเครื่องแป้งที่เก็บกวาดจนโล่งโจ้ง เขียนจดหมายทิ้งไว้ว่าฝากดูแลน้องชายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วย

ทว่าพอทุกคนเปิดตู้เสื้อผ้าออกมา ก็พบเพียงโครงกระดูกคนตาย ห่อเอาไว้ในผ้าขาว วางอยู่อย่างเรียบร้อยบนกองเสื้อผ้า

ไม่มีใครรู้จักสองคนนี้มาก่อนและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะสืบตามหาญาติ แต่ก็น่าเศร้า ที่เรื่องของทั้งสองก็เงียบหายไป เช่นเดียวก็ศพไร้นามไร้ใบหน้าอื่นๆ ในประเทศนี้

หลังจากนั้น ต่อเนื่องนานหลายปี ผู้เช่าที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ต่างได้ยินเสียงพูดคุยลึกลับของสองพี่น้องที่นอนคุยกัน และหัวเราะเศร้าๆ ด้วยกัน บางครั้งเปิดตู้เสื้อผ้าออกมา เห็นเงาร่างรางๆ คล้ายเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาผิวพรรณซีดเซียว นั่งขดตัวอยู่ในนั้น หลับสบายราวกับทารกในครรภ์มารดา ก่อนจะวาบหายไปเฉยๆ

บางรายหนักกว่านั้น คือนอนอยู่แล้วพอลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นเหมือนเงาร่างผู้หญิงแขวนคอตัวเองไกวโยกเยกอยู่กับพัดลมเพดาน จนต้องย้ายออกด้วยความหวาดกลัวกันเป็นแถว ว่ากันว่าหลังจากที่แทนศีลแขวนคอกับพัดลมเพดานตายไปแล้ว ยังมีคนที่มาเช่าห้องหลายคนต่างพากันโพสต์เล่าความรู้สึกลงในสื่อออนไลน์ ว่ารู้สึกได้ถึงความเศร้า ความเหงาที่อบอวลอยู่ในห้อง

จนบางครั้งรู้สึกเศร้าจนอยากตายตามไปด้วย มีสองสามรายที่เคยฆ่าตัวตายในห้องนี้ แต่ไม่สำเร็จ และก็บอกกับคนอื่นๆ หลังจากนั้นว่า ตอนที่ทำรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่าง จนปัจจุบันนี้ ห้องเช่าห้องนั้นก็ยังเปิดให้เช่า รอคนเช่ารายต่อๆ ไป แต่ไม่เคยมีใครที่อยู่ได้เกินเดือนเลยแม้แต่คนเดียว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน