นอกจากเป็นเซลส์แมนเบอร์ 1 ของประเทศไทยแล้ว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ยังเป็นผู้นำแฟชั่นอีกด้วย
โดยนำสินค้าท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ของไทยออกสู่สายตาคนไทยอย่างกว้างขวางและพาสู่สายตาชาวโลกให้เห็นของดีเมืองไทย

พันผ้าพันคอ หิ้วกระเป๋ากระจูด อวดเมืองแฟชั่นปารีส

เศรษฐา ทวีสิน นำผ้าขาวม้าโชว์ที่ฝรั่งเศส
ไม่ว่าจะเป็น ผ้าขาวม้าร้อยเอ็ด ผ้าขาวม้าอุดรธานี ผ้าขาวม้ากาฬสินธุ์ ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ้ามัดหมี่หนองบัวลำภู บางชิ้นก็นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าใส่ลงพื้นที่หรือไปงานต่างๆ และยังโปรโมตกระเป๋ากระจูด นราธิวาส จนเลื่องชื่อยิ่งขึ้น

ชิลชิล ที่ออสเตรเลีย

กรุงเบอร์ลิน เยอรมัน
ในการเยือนออสเตรเลีย เยอรมัน ฝรั่งเศส ช่วง 4-14 มี.ค.2567 นายเศรษฐาได้นำซอฟต์เพาเวอร์เหล่านี้ไปโกอินเตอร์ด้วย
นายเศรษฐาที่พันคอด้วยผ้าขาวม้า ยังควงอุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่สวมโค้ตผ้าย้อมครามสกลนคร ชมห้างสรรพสินค้ากลางกรุงปารีส ปูทางดีไซเนอร์ไทย พร้อมจับมือแบรนด์แฟชั่นต่างประเทศนำสินค้าท้องถิ่นไทยสู่ตลาดโลก

เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง ที่ฝรั่งเศส
นายเศรษฐาระบุว่า มาฝรั่งเศสเมืองแห่งแฟชั่น ผมตั้งใจเอาผลิตภัณฑ์กระจูดของดีขึ้นชื่อจ.นราธิวาส และผ้าขาวม้าจ.อุดรธานี ซึ่งเป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์มาด้วย
“ผ้าขาวม้าคือเครื่องหมายของการผูกมิตร มีความเป็นสากล และ muti-color ถ้าเราต่อยอดและขยายตลาดในต่างประเทศได้ ในอนาคตข้างหน้าผ้าขาวม้า ผืนละ 50 บาทอาจจะยกระดับราคาให้ เป็น 1,000 บาทได้ และนั่นคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย”
ขณะที่ภาคเอกชนไทยใช้โอกาสทองนี้ ร่วมมือกับรัฐบาลจัดโครงการ “THAINESS STATION สินค้าไทย ร่วมใจเพื่อชุมชน” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสินค้าไทยฝีมือชาวบ้านเพื่อสร้างรายได้ และต่อยอดผลงานสู่สายตาคนทั่วโลกต่อไป
ด้วยการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าไทยในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า เครื่องจักสานจากกระจูด และผ้าคราม ที่ศูนย์การค้าชั้นนำ โดยซื้อจากกลุ่มแม่บ้าน และชุมชนในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อมาจำหน่ายให้กับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.2567
สำหรับผ้าขาวม้า เป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย ที่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปร่วมแสดงในงาน World Dance Day 2023 ที่กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้รับความสนใจจากผู้ชมชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก

ชาวบ้านมอบผ้าขาวม้าเต็มตัว
รัฐบาลสมัยนั้นยังเสนอขึ้นทะเบียน ‘ผ้าขาวม้า’ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible cultural heritage) ต่อองค์การยูเนสโกอีกด้วย
คนไทยรู้จักผ้าขาวม้าตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับยุคสมัยเชียงแสน ที่ผู้ชายเริ่มใช้ผ้าเคียนเอวหรือผ้าขาวม้า ซึ่งได้รับวัฒนธรรมมาจากไทยใหญ่ ขณะที่ไทยใหญ่ใช้โพกศีรษะ ส่วนไทยยังม้วนผมมวยอยู่

ซื้อเสื้อกั๊กผ้าฝ้าย ที่พะเยา
ผ้าขาวม้าส่วนใหญ่ทอจากผ้าฝ้าย เส้นไหม ด้ายดิบ ป่านหรือวัสดุตามท้องถิ่น นิยมทอสลับสีเป็นลายตาหมากรุกหรือเป็นลายทาง โดยมากผลิตในแถบภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีขนาดความกว้างยาวแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะกว้างประมาณ 3 คืบ ยาว 5 คืบ ราคาจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้
ปัจจุบันมีการนำไปใช้ในการพัฒนาเป็นเครื่องแต่งกายตามสมัยนิยม โดยแปรรูปออกมาเป็นรูปแบบที่คนรุ่นใหม่จะนิยมใช้มากขึ้น
หลักฐานที่คนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้าในสมัยเชียงแสนปรากฏให้เห็นในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดภูมินทร์ จ.น่าน

ผ้ามัดหมี่ หนองบัวลำภู ทอชื่อเศรษฐา
และเมื่อดูจากการแต่งกายของหญิงและชายในสมัยอยุธยา จากภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยาราวต้นศตวรรษที่ 22 เห็นได้ชัดว่าชาวอโยธยานิยมผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง นุ่งโจงกระเบน คล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง
สมัยรัตนโกสินทร์ชาวไทยทั้งชายและหญิงนิยมใช้ผ้าขาวม้าทำประโยชน์อย่างมาก โดยไม่จำกัดแต่เพียงแค่หญิงเพศชายเท่านั้น และไม่จำกัดเฉพาะการใช้ทำเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว
ผ้าขาวม้า ไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็นภาษาเปอร์เซียที่มีคำเต็มว่า กามาร์บันด์ กามาร์ หมายถึง เอวหรือท่อนล่างของร่างกาย บันด์ แปลว่าพัน รัดหรือคาด เมื่อนำคำสองคำมารวมกันจึงหมายถึง เข็มขัด ผ้าพันหรือคาดเอว
การ์มาบันด์ ยังปรากฏอยู่ในภาษาอื่น เช่น ในภาษามลายู ภาษาอินดี้ ภาษาอังกฤษ ที่มี คัมเมอร์บันด์ หมายถึง ผ้าคาดเอวในชุดสูท
ส่วน ‘กระเป๋ากระจูด นราธิวาส’ หลังนายเศรษฐาโปรโมตผ่านกิจกรรม “เที่ยวใต้สุด จังหวัดนราธิวาส” เมื่อวันที่ 29 ก.พ.2567 และใช้กระเป๋าสานกระจูดในการเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน
นางกุเเวรายะ กุโน ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์กระจูดบ้านพรุกาบแดง (กลุ่มกระจูดรายา) จ.นราธิวาส กล่าวว่า จากเดิมที่มีออร์เดอร์เข้ามาเรื่อยๆ พอมีรายได้หล่อเลี้ยงกลุ่ม แต่ทันทีที่ปรากฏภาพของนายกฯ ใช้กระเป๋าสานกระจูดในการเยือนกรุงปารีส ทำให้มีการติดต่อสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากมาย
ส่วนใหญ่จะสั่งซื้อกระเป๋าเอกสารแบบที่นายกฯ ถือ และอีกส่วนหนึ่งสั่งซื้อกระเป๋ารูปแบบอื่นๆ ด้วย จากเดิมมียอดขายเฉลี่ยประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน แต่ขณะนี้ยอดขายพุ่งเป็นเท่าตัวกว่า 60,000 บาท
สินค้าของเรามีให้เลือกหลายรูปแบบ เริ่มต้น 40 บาท จนถึงหลักพันบาท ส่วนกระเป๋าเอกสารสานกระจูดที่นายกฯ ใช้นั้น แต่ละใบจะใช้คนทำถึง 6 คน รับผิดชอบแต่ละด้านตั้งแต่การสานกระจูด ขึ้นรูป และตัดเย็บ จำหน่ายใบละ 690 บาท
สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊ก เพจ: กระจูดรายา โทรศัพท์ 08-9298-8567
ด้าน นายทวีบุญ เชาวะเจริญ ข้าราชการครู คศ.2 วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระจูดรายา กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่เราได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชุมชนวัดชลธาราสิงเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทำให้ทราบว่าคนชุมชนต้องการเรื่องผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการวิจัยเพื่อการมุ่งทำผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชุมชนเเละเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยว
จึงนำลวดลายสถาปัตยกรรมที่มีความผสมผสานทั้งศิลปะมลายูและศิลปะจากตะวันตก และภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดชลธาราสิงเห ซึ่งเก่าแก่อยู่ในยุคปลายรัชกาลที่ 4 ต้นรัชกาลที่ 5 มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก คือ กระจูดสาน ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มกระจูดรายา ที่มีความชำนาญในการแปรรูปผลิตภัณฑ์กระจูดสานและกลุ่มกระจูดบ้านใหญ่ที่มีความชำนาญในการปักซอย
“สินค้าทุกชิ้นของกลุ่ม ทุกคนทำด้วยใจ รังสรรค์อย่างประณีตงดงาม จึงปลื้มใจมากที่นายกฯ สนใจและช่วยโปรโมตให้ อยากให้คนไทยหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ของคนไทยในชีวิตประจำวัน” นายทวีบุญกล่าวทิ้งท้าย
ผลิตภัณฑ์ของดีเมืองไทยยังมีอีกมากมายที่ผงาดในเมืองไทยและกำลังปูทางไปสู่ตลาดโลก