“นทธี ศศิวิมล”

ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหา วิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็กๆในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา

โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ความปลอดภัยของเด็กๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกัน ที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อ และแม่ ในคนเดียวกัน ยังไม่รวมต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็กๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่างๆ

ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ และหนังสือเรียน หนังสืออื่นๆ ไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็กๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง

พวกเราเป็นครูชั่วคราว ที่เด็กๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟังเสมอ บางครั้งแม้ค่ายจะจบในเวลาถึงครึ่งเดือน แต่วันที่จะกลับพวกเด็กๆ ก็มักจะร่ำลาด้วยเสียงร้องไห้กระจองอแง บางคนถึงกับวิ่งมากอดแข้งกอดขาไม่ให้ไปไหน บางคนเขียนจดหมายน้อย ใส่ที่อยู่มาเรียบร้อย ขอร้องแกมบังคับให้เขียนจดหมายกลับมา และต้องกลับมาเยี่ยมพวกแกอีก

ในความอัตคัดของพวกเด็กๆ และครูในโรงเรียนเหล่านั้น ฉันกลับได้รับความรู้สึกดีๆ ผูกพันและอบอุ่นกับการลงพื้นที่ทำงานอาสา คิดฝันอยากจะทำงานในองค์กรที่ได้ทำงานกับเด็กๆ ด้อยโอกาสเหล่านี้ แต่กระนั้นเส้นทางชีวิตหลังเรียนจบก็ผลักฉันให้ไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่นานหลายปี

กระทั่งวันหนึ่ง ได้มีโอกาสเจอพี่พรอีกครั้งบนรถไฟฟ้า ฉันดีใจจนออกนอกหน้า ไถ่ถามทุกข์สุขกันและรับรู้ด้วยความประหลาดใจว่า พี่พรยังทำงานกับเด็กๆ ด้อยโอกาส

“เป็นโรงเรียนประจำบนดอยที่ตาก แต่พี่ต้องกลับมาดีลกับส่วนกลางที่กทม.เดือนละครั้ง ที่นั่นก็เหมือนทุกที่ที่เราเคยไปกันเมื่อก่อน ขาดแคลนทุกอย่าง ทั้งสถานที่ ทั้งคน ทั้งของ ถ้ามีโอกาสอยากให้เอ้ลองไปเยี่ยมชมนะ” พี่พรพูดพลางยิ้มใจดีอย่างเคย สุดสัปดาห์นั้นฉันเลยขอตามพี่พรขึ้นดอยไปเยี่ยมเด็กๆ ที่โรงเรียนนั้นด้วย

บังเอิญวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ ไม่มีการเรียนการสอน และเด็กๆ ที่นอนประจำก็กลับบ้านกันหมด พี่พรพาเยี่ยมชมอาคารเรียนชั้นเดียว และเรือนพักของนักเรียนสูงสองชั้น สภาพเพิ่งทำใหม่ๆ ซึ่งเป็นที่พักที่เราต้องนอนกันในคืนนี้ “พอดีเรือนนี้เพิ่งได้งบมาเมื่อปีที่แล้ว ทำใหม่เสียสวยเลย เสียดาย…” พี่พรพูดแค่นั้นแล้วก็พาไปที่อื่นต่อ

“กลัวผีไหม” พี่พรถามในตอนค่ำ ขณะที่เรากำลังกินข้าวกัน ครูผู้ชายอีกคนของโรงเรียนกำลังจะขอตัวกลับบ้านในตัวอำเภอ “ถ้าเอ้กลัวผี กลับลงไปพักที่โรงแรมในเมืองได้นะ ติดรถครูนอมไป”

ตอนนั้นฉันนึกว่าพี่พรอำเล่น แล้วยังห่วงว่าแกจะต้องนอนที่นี่คนเดียว เลยบอกไปว่าไม่กลัวผี ครูนอมเลยขับรถออกไปหลังจากนั้น

ฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ตามพี่พรขึ้นไปที่ชั้นบน พี่พรก็เริ่มเล่า “ที่พี่ถามว่ากลัวผีไหม พี่ไม่ได้พูดเล่นนะเอ้”

พี่พรว่าพลางทอดสายตามองไปรอบห้องด้วยอาการเศร้าสร้อย “พี่ทำโรงเรียนนี้มาหกปีแล้ว ผูกพัน รักกับเด็กๆ ทุกรุ่นเหมือนเป็นลูก เด็กๆ ก็รักพี่ รักครูนอม เราอยู่ด้วยกันที่อาคารนี้แหละ ค่ำก็นอนกองรวมกัน เช้ามาก็ลุกไปทำข้าวต้ม ทอดไข่กัน เด็กโตๆ รุ่นพี่ก็จะช่วยกันดูน้อง”

ฉันยิ้ม “แหม พี่พร แค่หยุดเสาร์อาทิตย์เองค่ะ เดี๋ยววันจันทร์เขาก็กลับมากันแล้ว”

พี่พรยิ้มเศร้าๆ “ปกติเด็กประจำเขาจะกลับบ้านแค่ตอนปิดเทอมเท่านั้นแหละเอ้ แต่วันนี้ที่ไม่มีใครเขาอยู่กัน เพราะมันเป็นคืนครบรอบพอดี”

พี่พรเล่าต่อทั้งน้ำตาว่า เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนที่พี่พรต้องเดินทางลงกรุงเทพฯ เพื่อทำธุระ เรือนหลังนี้ไม่มีผู้ใหญ่นอนเฝ้า เด็กโตพาน้องๆ เข้านอนแล้ว สักเวลาสี่ทุ่ม บริเวณชั้นล่างเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ เนื่องจากอากาศแห้ง และเรือนเป็นไม้ ไฟจึงลุกลามเร็วมากทั้งหลัง บันไดไหม้ หนีฝ่าลงมาไม่ได้ พี่คนโตพยายามมัดผ้าเอาน้องลงมาได้สองสามคน แต่ไฟโหมเร็ว จึงกระโดดลงมาเอาชีวิตรอด ส่วนน้องเล็กๆ ที่เหลือติดอยู่ชั้นบนราว 16 คน สำลักควันไฟ และถูกไฟคลอกเสียชีวิตทั้งหมด

ฉันนั่งนิ่งอึ้ง ฟังด้วยความตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก กำลังนึกคำจะปลอบแต่พี่พรก็เล่าต่อเสียก่อน

“คืนนี้เป็นคืนครบรอบวันที่เกิดไฟไหม้ ทุกปีพี่จะกลับมาหาพวกเขาที่นี่ ไม่มีใครกล้าอยู่ แต่พี่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลเขาวันนั้น เอ้กลัวไหม ขอโทษนะ นอนเถอะๆ”

เรานอนกันในความเงียบ ฉันได้ยินเสียงพี่พรสะอื้น แต่ด้วยความเหนื่อยเลยเผลอหลับไป

มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็กๆ พอค่อยๆ ลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็กๆ นับสิบ เป็นร่างเงาจางๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน (อ่านต่อตอนจบ)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน