“นทธี ศศิวิมล”

แต่ละร่างนั้น ไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อย ไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก เมตตาอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็กๆ ที่มีชีวิต

ฉันนอนนิ่งตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น

สักพักหนึ่ง รู้สึกเย็นๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับอยู่ ฉันใจเต้นแรงด้วยความกลัว ตัวชา มือเย็นเท้าเย็นไปหมด พอค่อยๆ หันไปดู ก็เห็นร่างเด็กชายคนหนึ่ง อายุราวสามขวบ ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดขาวๆ นั่งยองๆ เอามือจับข้อเท้าฉัน มองจ้องเขม็งมาที่หน้าฉันนิ่งอยู่

ฉันกลัวจนข้างในสั่นไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ยกมือไหว้เด็กแล้วก็ค่อยๆ ดึงเท้าตัวเองกลับเข้ามาในผ้าห่มช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจหลับหูหลับตา พุ่งตัวไปที่ประตูอย่างเงียบเชียบที่สุด ไม่ไหวแล้ว ห้องทั้งห้องมีแต่ผี ใครอยู่ได้ก็อยู่ไปฉันไม่เอา ด้วยคน

พรวดเดียวก็ลงมาหอบแฮก น้ำตาคลออยู่ข้างล่าง ทีแรกความกลัวสั่งให้วิ่งออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด แต่ก็ความกลัวอีกแหละที่บอกว่านอกบ้านมีแต่ป่าและความมืด บ้านคนที่ใกล้สุดห่างไปอีกเกือบสิบกิโล จะไปไหนได้ตอนนี้ ฉันเลยเปลี่ยนใจเป็นนั่งรอที่โต๊ะกินข้าว รอให้เช้าแทน และเนื่องจากอาคารนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานเลยยังไม่มีไฟฟ้าต่อเข้ามา ฉันจึงต้องลุกไปจุดตะเกียงที่วางอยู่ใกล้ๆ พอให้มีแสงสว่างอยู่เป็นเพื่อนบ้าง

แต่พอตะเกียงสว่างฉันก็ต้องตกใจหงายหลังนั่งกับพื้น แทบกรี๊ดออกมา เมื่อใบหน้าหนึ่งขาวโพลนกลางความมืดปรากฏที่อีกฟากของโต๊ะกินข้าว

“พี่เอ้เพื่อนพี่พรใช่ไหมคะ ไม่ต้องกลัวค่ะพี่ หนูมานั่งตั้งนานแล้วค่ะ” ใบหน้านั้นพูดขึ้นเบาๆ ฉันจึงถอนหายใจโล่งอก

เด็กสาวที่เพิ่งมาเล่าว่า เธอนั่นเอง ที่เป็นเด็กโตที่ต้องดูแลน้องๆ ในคืนนั้น เธอชื่อเจน ไม่มีใครเคยกล่าวโทษเธอเลยในเรื่องนี้ และยังชื่นชมที่เธอยังสามารถช่วยน้องมาได้ตั้งหลายคนก่อนที่จะกระโดดออกมาเพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้ได้ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกผิด

“พี่รู้ไหม หนูรู้สึกยังไง ยิ่งทุกครั้งที่ครบรอบวันไฟไหม้ หนูอยากตายไปเสียให้พ้นๆ เมื่อปีก่อนโน้น หนูเลยมาที่นี่ ในคืนครบรอบแบบนี้ เอาเชือกมาด้วย ตั้งใจจะปีนเก้าอี้ตัวที่พี่นั่ง แล้วแขวนคอตายตามน้องๆ ไปช่วยดูแลน้องๆ บนสวรรค์ ไถ่โทษที่หนูทิ้งพวกเขาไว้ในวันนั้น” เด็กสาวพูดพลางก้มหน้าสะอื้นฮักๆ

ฉันใจหายวาบ รู้สึกขนคอตั้งชันเหมือนหมาเวลากลัว หรือว่าจะหนีเสือปะจระเข้ หนีผีลงมาเจอผีอีกหรือไงนะเนี่ย

“แต่พี่พรมาเจอพอดี แล้วก็สอนหนู ว่าถ้ารู้สึกผิดก็ต้องไถ่โทษด้วยการทำความดี ยังมีเด็กๆ อีกมากที่ต้องการการดูแล หนูต้องให้โอกาสตัวเองได้ไถ่บาป หนูเลยยอมไปเป็นอาสาสมัครดูแลน้องๆที่โรงเรียนประจำอีกอำเภอ เพราะหนูทำใจกลับมาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ คิดถึงเรื่องนั้นทีไรก็เสียใจ แต่ก็กลับมาเยี่ยมที่นี่ทุกปีอยู่ดีค่ะ”

ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีนะที่พี่พรช่วยน้องเจนไว้ได้

“ว่าแต่ พี่เอ้ กลัวผีไหมคะ” น้องเจนถามต่อ ทำเอาฉันสะดุ้ง

“ถามทำไม ถ้าเรื่องน้องๆ ข้างบนนั้น พี่ทราบแล้วล่ะค่ะ กลัวก็กลัวอยู่หรอก แต่พี่สงสารและเห็นใจมากกว่า เดี๋ยวก็เช้าแล้ว เจนไปพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกค่ะ”

เจนพยักหน้า หน้าตาดูกังวลและเศร้าเหลือเกิน “อ๋อ ค่ะ หนูอยู่เป็นเพื่อนพี่ดีกว่า คืองี้ค่ะ ปีนั้นพี่พรช่วยหนู แต่ว่า เมื่อปีที่แล้ว หนูเกิดเครียดเรื่องที่เลิกกับแฟน แล้วก็รู้สึกผิดเรื่องเดิม ที่ทิ้งน้องๆให้ตายที่นี่ หนูเลยกลับมาอีกในคืนครบรอบ แต่ทีนี้พี่พรไม่รู้ว่าหนูมา หนูเลย…นั่นไงคะ ร่างหนู” เธอว่าพลางชี้มือไปที่ด้านหลังเหนือศีรษะ

ฉันเสียวสันหลังวาบ แต่ก็หันตามมือน้อง ที่ชี้ไปให้ดู แล้วก็ต้องผงะ หัวใจแทบหยุดเต้น ตาเบิกโพลง รู้สึกหน้ามืดเหมือนกำลังจะเป็นลม ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัววอมแวม ฉันเห็นร่างเด็กสาวคนเดียวกับที่นั่งตรงหน้า แขวนห้อยคอกับเชือกเส้นใหญ่ อยู่ตรงขื่อด้านหลัง ใบหน้า บวมเป่ง ร่างนั้นกระตุกเหมือนกำลังชักอยู่สองสามทีก่อนจะนิ่งไป

“หนูก็ถึงถามไงว่าพี่กลัวผีไหม” ฉันได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นแว่วๆ ก่อนที่จะหน้ามืดหมดเรี่ยวแรง และร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นก่อนจะหมดสติไป

ตื่นมาอีกทีตอนรุ่งสาง พี่พรและเด็กคนอื่นๆมาปลุก ขอโทษขอโพย พากันทำกับข้าวกินข้าวกันสนุกสนาน แต่ฉันยังคงนึกถึงเรื่องที่พบเมื่อคืน และหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมพี่พรที่โรงเรียนนั้นอีกหลายปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน