ผ่าคดีจับหนุ่มลอบล่าสัตว์ อ้างเป็นกองกำลังติดอาวุธ ยึดปืน-ซากหมีขอ-ลิงกัง

คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

พื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดนมีความละเอียดอ่อนมาก การสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จึงเป็นเรื่องสำคัญ อะไรหนักนิด เบาหน่อยก็มักอะลุ้มอล่วยกันไป

เหตุการณ์จับกุมกองกำลังติดอาวุธ ที่เข้ามาลักลอบล่าสัตว์ในพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติไทรโยค เมื่อบ่ายวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา จึงสร้างความตึงเครียดให้กับฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ต้องรีบเข้ามาตรวจสอบคลี่คลายให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว

วันที่ 23 พ.ค. นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค รองหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ พญาเสือ (กรมอุทยานฯ) เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 22 พ.ค. เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติไทรโยค ร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ ออกลาดตระเวนปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค

นายซาตูกับของกลาง

เมื่อมาถึงบริเวณป่าเขาเลาะ หมู่ 8 ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อยู่ห่างจากชายแดนไทย-เมียนมา ประมาณ 3 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่พบร่องรอยการตัดไม้และใบลานลักษณะใหม่ จึงแกะรอยติดตาม จนพบชายสองคนกำลังนอนอยู่ในเปล ภายในแคมป์พักแรมกลางป่า จึงแสดงตัวเพื่อ ขอตรวจสอบ แต่ชาย 1 ใน 2 คนสามารถวิ่งหลบหนีไปได้

เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ชายอีก 1 คนไว้ สอบสวนทราบชื่อภายหลัง คือ นายซาตู ไม่มีนามสกุล อายุ 26 ปี อ้างว่าเป็นชนกลุ่มน้อยกองกำลังติดอาวุธเคเอ็นยู โดยภายในแคมป์พักแรม ตรวจสอบพบซากสัตว์ป่าจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจำนวน 3 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน และนายซาตู รับว่าปืนทั้ง 3 กระบอก เป็นของตนและพวกอีก สองคน นายซาตูรับว่าเข้าป่ามาพร้อมกับ นายซาผุ่ย ไม่มีนามสกุล และนายกอรา ไม่มีนามสุกล

อาวุธปืนของกลาง

ด้วยไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า มีกองกำลังติดอาวุธรุกล้ำเข้ามาล่าสัตว์ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจรีบตรวจยึดของกลางทั้งหมด และเร่งถอนตัวออกจากพื้นที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย โดยติดต่อไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรโยค ประสานขอเฮลิคอปเตอร์จากสำนักการบินอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการเข้ารับตัวผู้ถูกจับและชุดพนักงานเจ้าหน้าที่ ลาดตระเวนออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน

กระทั่งเวลาประมาณ 17.40 น. หลังเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น จึงดำเนินการตรวจสอบของกลางทั้งหมดที่ได้ตรวจยึดมา พบว่าเป็นอาวุธปืนยาวกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อโคลต์ เออาร์ 15 ยิงกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 1 กระบอก แม็กกาซีนบรรจุกระสุน ขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน1อันกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 38 นัด

อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว ยี่ห้อไบคาล ขนาดลำกล้องยาว 73 ซ.ม. ความยาวรวมพานท้าย 114 ซ.ม. จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 7 นัด อาวุธปืนแก๊ป ขนาดลำกล้องยาว 110 ซ.ม. ความยาวรวมพานท้าย 153 ซ.ม. จำนวน 1 กระบอก

ซากสัตว์รมควัน

ขณะที่จากการตรวจสอบซากสัตว์ป่า พบซากหมีขอรมควันมาจากตัวเดียวกัน 21 ชิ้น น้ำหนักรวม 3 กิโลกรัม และชิ้นส่วนซากลิงกังรมควันมาจากตัวเดียวกัน 24 ชิ้น น้ำหนักรวม 2 กิโลกรัม เมื่อตรวจสอบกับบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 พบว่าหมีขอ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลำดับที่ 194 และลิงกัง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลำดับที่ 150

นายซาตูให้การว่าพวกตนได้เข้ามาล่าสัตว์ป่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เพื่อนำไปเป็นอาหาร เจ้าหน้าที่จึงทำบันทึกเพื่อ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค ดำเนินคดีใน 6 ข้อหา ประกอบด้วย

นาทีจับกลางป่า

1.ฐานร่วมกันนำสัตว์ออกไป หรือทำประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ 2.ฐาน ร่วมกันเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

5.ฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 6.สำหรับความผิดต่อ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 และแก้ไขเพิ่มเติม และความผิดฐานคนต่างด้าวหลบหนี เข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ภายหลังข่าวการจับกุมแพร่สะพัดออกไป ได้สร้างความร้อนใจให้กับผู้นำกองกำลังติดอาวุธ เคเอ็นยู และฝ่ายความมั่นคง ต้องรีบมาตรวจสอบรายละเอียดกับนายซาตู ก่อนความจริงปรากฏว่า เจ้าตัวไม่เกี่ยวข้องกับเคเอ็นยู อีกทั้งอาวุธปืนที่ใช้ก็เป็นคนละชนิดกับที่กองกำลังมีใช้

เมื่อถูกจับได้ว่าโกหก นายซาตูรับว่าไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธ เคเอ็นยู แต่ที่อ้างกับเจ้าหน้าที่ไทรโยคว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธ เคเอ็นยูนั้น เพราะหวังจะอาศัยความสัมพันธ์อันดีของเจ้าหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวเท่านั้น

จนท.ตรวจละเอียด

ส่วนสัตว์ป่าหรือซากสัตว์ป่าที่ล่ามา ก็เพื่อจะนำไปขาย โดยลอบเข้าไปหาสัตว์ป่าตามแนวชายแดน เพราะทราบว่าไม่มี เจ้าหน้าที่ของหน่วยใดเดินตามแนวตะเข็บ จึงร่วมกับพวกใช้โอกาสดังกล่าวออกล่าสัตว์ป่าเพื่อนำมาขาย

คดีนี้การจัดการที่รวดเร็ว ผสานกับความสัมพันธ์อันดีของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ทำให้ความจริงคลี่คลายอย่างรวดเร็ว

ศุภมาศ จงสกุล

เรื่อง /ภาพ

อ่านข่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน