ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศไทย บริษัทต่างๆออกประกาศเลิกจ้างพนักงาน “วรนุช พงษ์พานิชย์” เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในครั้งนั้น ถูกต้นสังกัดเลิกจ้างจากงานในฝัน ตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือ “แอร์โฮสเตส” กลายสถานภาพเป็นผู้ตกงานโดยฉับพลัน

แต่วิกฤตสำคัญในครั้งนั้นก็กลายมาเป็นจุดพลิกผันผลักดันให้เส้นทางชีวิตของเธอก้าวไปสู่เถ้าแก่เอสเอ็มอีรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ภายใต้แบรนด์“คลีนเมท” (CLEANMATE) ร้านซักอบรีดที่มี เครือข่ายแฟรนไชส์ถึง 45 สาขา และร้านที่บริษัทเปิดเอง 5 สาขารวมแล้ว 50 สาขามีจุดให้บริการกว้างขวางเพื่อให้บริการแก่ประชาชน ทั้งในเขตที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ สถานศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมไปถึงการเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต, บิ๊กซี, เซเว่น อีเลฟเว่น, โกลเด้น เพลส, จามจุรีสแควร์ และอาคารสำนักงานต่างๆ ฯลฯ เพื่อขยายพื้นที่บริการให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า

ได้ขอเช่าพื้นที่ส่วนหนึ่งในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อตั้งตู้รับบริการซักอบรีด สำหรับอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคนในยุคปัจจุบัน

วรนุช เล่าว่า หลังจากถูกเชิญออกจากงานประจำ ก็รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิต จึงพยายามหาช่องทางสร้างธุรกิจให้กับตัวเอง ด้วยความที่เป็นแอร์โฮสเตสมาก่อนจึงเป็นคนที่รักงานบริการ เมื่อบวกกับประสบการณ์ส่วนตัวที่มักเจอปัญหางานบริการของร้าน “ซักอบรีด” ในเมืองไทยจึงมองเห็นช่องว่างทางการตลาดของธุรกิจซักอบรีด จึงเริ่มต้นธุรกิจด้วยการเปิดร้านซักอบรีดเล็กๆ ภายใต้แบรนด์ “คลีนเมท” ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกแค่หลักแสน


“ระยะแรกที่เลือกทำธุรกิจซักอบรีด เพราะคิดว่าเป็นธุรกิจที่ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ใช้เงินลงทุนไม่สูง แค่มีทำเลดี ซื้อเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เตารีด จ้างพนักงานแค่ 1-2 คน ก็ทำได้แล้ว แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่อย่างนั้น ธุรกิจซักอบรีดมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคจะซักเสื้อผ้าแต่ละชนิดให้สะอาดที่สุด การรักษาความปลอดภัยของเสื้อผ้า การบริหารคิวซักรีดเพื่อส่งงานลูกค้าได้ตรงตามเวลา ฯลฯ เหล่านี้ ต้องศึกษาเพิ่มเติมใหม่ทั้งหมด โดยหาความรู้จากทั้งผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ไปดูงานในโรงแรม 5 ดาว รวมถึงนำประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยใช้บริการร้านซักอบรีดในต่างแดนมาปรับใช้”

วรนุช บอกต่อไปว่า พอดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่งก็มองเห็นโอกาสในการขยายการให้บริการ จึงมองหาแนวทางในการสร้างความแตกต่างให้กับคลีนเมทในช่วงที่เปิดสาขาที่ 2 ในบิ๊กซี สาขาสะพานควาย จึงตัดสินใจลงทุนซื้อ“เครื่องซักแห้ง เทคโนโลยีซิลิโคน” จากประเทศญี่ปุ่นราคากว่า 3 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนที่สูงแต่เมื่อมองประโยชน์ที่จะได้รับคิดว่าคุ้ม เพราะเป็นนวัตกรรมการซักแห้งที่ทันสมัยและดีที่สุดในวงการ เพื่อยกระดับงานบริการให้เหนือคู่แข่ง เพราะเครื่องซักแห้งลักษณะนี้มีใช้เฉพาะในโรงแรม 5 ดาว แต่เมื่อคลีนเมทนำมาให้บริการในราคาค่าบริการที่คนทั่วไปเข้าถึงได้กระแสตอบรับจึงดี ธุรกิจของคลีนเมทจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ


ข้อดีของของเทคโนโลยีซิลิโคนที่นำมาใช้นอกจากจะช่วยทำความสะอาดเสื้อผ้าได้หมดจด ในเวลาอันรวดรวดเร็ว ประมาณ 45-50 นาทีต่อรอบแล้วยังสามารถซักผ้าได้ถึง 18 กิโลกรัม/ครั้ง โดยเสื้อผ้าที่ผ่านการซักจะไม่เสียรูปทรง เนื้อผ้าไม่เสียหาย สามารถซักได้หลากหลาย ทั้งเส้นใยจากต่างประเทศ ผ้าไหมทุกชนิด ผ้าขนสัตว์ทุกชนิด กระเป๋าหนัง ฯลฯ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟู และเคลือบเส้นใยให้ดูใหม่คงความเงางาม ซึ่งสารซิลิโคนที่ใช้ในการซัก เป็นชนิดเดียวกับส่วนผสมในเครื่องสำอาง จึงไม่เกิดความระคายเคืองต่อผู้สวมใส่ ที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นการนำนวัตกรรมนี้มาใช้จึงถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่กลุ่มคนทั่วไปจนถึงลูกค้าที่อยู่ในตลาดระดับบน รวมถึงที่ต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เช่น ชุดราตรี ชุดแต่งงาน เสื้อผ้าสำหรับแสดงแฟชั่น เสื้อผ้าดารานักแสดงในกองถ่ายภาพยนตร์ และละคร เป็นต้น
เมื่อกระบวนการดำเนินธุรกิจก้าวสู่มาตรฐาน “วรนุช” จึงคิดต่อยอดธุรกิจด้วยการขยายฐานลูกค้าด้วยการหาผู้ร่วมธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ ทำให้จากสาขาแรกเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา วันนี้คลีนเมทมีสาขาที่ให้บริการทั้งหมดรวมถึง 50 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และในจำนวนนี้ 8 สาขา

​การเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มอีคลีนเมท จากร้านซักอบรีดเล็กๆ ในซอยมีรายได้หลักหมื่นบาทต่อเดือน จนปัจจุบันมีรายรับหลักล้านบาท แนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในเรื่องนี้เจ้าของคลีนเมทบอกว่า หัวใจสำคัญที่นำพาธุรกิจมาถึงจุดนี้ได้คือ การพัฒนาความรู้ แสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ จากทั่วโลกมาพัฒนาธุรกิจซักอบรีดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตามติดเทรนด์การแต่งกายของคนยุคใหม่ นวัตกรรมเส้นใยผ้า และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อปรับบริการตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด คำพูดที่ “วรนุช” จะย้ำกับพนักงานเสมอคือ “ต้องเอาใจเขา มาใส่ใจเรา” และย้อนถามตัวเองตลอดเวลาว่า “สามารถจะทำให้ดีกว่านี้ได้อีกหรือไม่?” ด้วยเหตุนี้ คลีนเมทจึงคว้ารางวัลชนะเลิศในรายการ SME ตีแตกปี 2554

ความสำเร็จของธุรกิจเอสเอ็มอีคลีนเมท แสดงให้เห็นว่า ในวันที่เจอวิกฤต ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ สิ่งสำคัญอยู่ที่กล้าจะลุกขึ้นสู้ และพร้อมเปลี่ยนตัวเองเพื่อก้าวไปค้นหาความท้าทายใหม่หรือไม่!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน