กสศ. เผยเคสเร่งด่วน ช่วยเด็กนอกระบบ 13,263 คน กลับเข้าสู่การศึกษา

เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการช่วยเหลือเด็กนอกระบบการศึกษาของ 20 จังหวัดต้นแบบสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี ยะลา ขอนแก่น อำนาจเจริญ มหาสารคาม นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี นครนายก ระยอง และกาญจนบุรี รวม 155 อำเภอ

โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2562 พบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาชุดแรกจำนวน 23,382 คน จากการเก็บข้อมูลรายบุคคลพบเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวน 13,263 คน จากการสำรวจเราพบปัญหาหลักๆ 3 ด้าน ดังนี้ 1.ครอบครัว/สังคม 2.เศรษฐกิจ 3.พฤติกรรม และ4.สุขภาพ โดยแบ่งกลุ่มการช่วยเหลือเป็น 1.ความต้องการเตรียมความพร้อมหรือฟื้นฟูเยียวยาก่อนเข้าศึกษาต่อ/ฝึกอาชีพจำนวน 7,845 คน 2.ต้องการศึกษาต่อจำนวน 4,250 คน และ3.ต้องการฝึกอาชีพจำนวน 3,923 คน

นพ.สุภกร บัวสาย

ขณะนี้ทั้ง 20 จังหวัดอยู่ระหว่างจัดทำแผนช่วยเหลือรายกรณีโดยทีมสหวิชาชีพ เพราะเด็กแต่ละคนมีสภาพปัญหาที่แตกต่างกัน กสศ.จะสนับสนุนทุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพเบื้องต้นกรณีละ 4,000 บาท รวมถึงมีระบบพี่เลี้ยงติดตามการช่วยเหลือรายคน เพื่อป้องกันการหลุดออกนอกระบบซ้ำ

ผู้จัดการ กสศ. กล่าวต่อว่า คาดว่าทั้ง 20 จังหวัดจะสำรวจพบตัวเด็กนอกระบบทั้งหมดได้ภายในกลางปี 2563 การค้นหาและช่วยเหลือเด็กนอกระบบนั้นเป็นงานที่ยาก เพราะปัญหามีความซ้ำซ้อน เด็กจำนวนมากไม่ได้อาศัยอยู่ตามทะเบียนบ้าน เร่ร่อน ไม่เป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยกลไกพื้นที่ และทีมสหวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและมีความเข้าใจในตัวเด็กสูง

โดยเป้าหมายในการดูแลเด็กนอกระบบของ กสศ.และ 20 จังหวัดนำร่อง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.เด็กปฐมวัย 2-6 ปีที่ยากจน สามารถเข้ารับการดูแลโดยศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือหรือโรงเรียนในพื้นที่ 2.เด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่ยังไม่จบการศึกษาภาคบังคับ ให้เข้าศึกษาต่อในกศน. หรือ โรงเรียนที่มีระบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น และมีระบบแนะแนวเพื่อป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบซ้ำ 3.เด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่ประสงค์จะได้รับการฝึกอาชีพ ให้สามารถหารายได้ดูแลตนเองและครอบครัว ด้วยการฝึกทักษะอาชีพ โดยกลไกจังหวัดจะประสานความร่วมมือกับสถาบันอาชีวศึกษา พัฒนา ฝีมือแรงงาน วิทยาลัยการอาชีพ

นายประเสริฐ สุขจิต

ด้านนายประเสริฐ สุขจิต นายก อบต.เมืองลีง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ความยากจนทำให้ต้องออกจากระบบการศึกษา หรือบางคนไม่ถนัดการเรียนในห้องเรียนหรือทางวิชาการ เราต้องให้โอกาสและดึงพลังของเด็กกลุ่มนี้ออกมาให้ได้ใช้ ความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ แนวทางของเราคือการส่งเสริมความถนัดในทุก ๆ มิติของเด็ก ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำ คือค้นหาความต้องการที่แท้จริงของเขาให้พบ ต้องเข้าไปในใจของเขาให้ได้ก่อน แล้วเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ ก็จะอยู่ในระบบการศึกษาได้ ระหว่างนั้นเราก็ค่อยสอดแทรกความรู้ทางวิชาการให้ ซึ่งดีกว่าที่เราจะบังคับให้ทุกคนเรียนเหมือนกันหมด นั่นยิ่งทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่อยากอยู่ในห้องเรียน และมีโอกาสหลุดนอกระบบระบบซ้ำอีก

ส่วนนางจิรนันท์ เครือจันทร์ ครูผู้ดูแลเด็กนอกระบบและรับผิดชอบด้านพัฒนาทักษะ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากได้ลงพื้นที่ค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบช่วงเดือนกันยายน พื้นที่รับผิดชอบคือตำบลเมืองลีง เป็น 1 ใน 10 ตำบลนำร่อง โดย อ.จอมพระ เป็น 1 ใน 25 พื้นที่ค้นหาเด็กนอกระบบของจังหวัดสุรินทร์ จากรายชื่อที่ได้รับแจ้งจำนวน 358 คน งานค้นหาเริ่มต้นที่ตรวจสอบสถานะเด็กกับผู้ใหญ่บ้าน เบื้องต้นมุ่งเป้าไปที่คนที่เขาสนใจอยากกลับมาเรียนต่อจริง ๆ

นางจิรนันท์ เครือจันทร์

“ขณะนี้ทางตำบลได้รับเด็กเข้ามาอยู่ในความดูแล 30 คน และสามารถพาเด็กเข้าเรียนในระบบการศึกษานอกโรงเรียนได้ทันที 17 คน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งได้เลยช่วงวัยที่จะกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนตามระดับชั้นที่หลุดจากการศึกษาได้จะมีกลไกการฟื้นฟูเพื่อให้เข้าเรียนได้ในเทอมหน้าหรือหาเส้นทางที่เหมาะสมต่อไป เช่น การฝึกอาชีพตามความถนัด” นางจิรนันท์ กล่าว

นายยรรยง นิโรรัมย์ พ่อของ ‘อ๋า’ 1 ใน เด็กนอกระบบจาก จ.สุรินทร์ ที่ได้กลับมาเรียน กล่าวว่า ลูกชายของตนต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อให้น้องได้เรียน และต้องไปทำงานรับจ้างขนเครื่องเสียงเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ตนดีใจที่ได้เห็นลูกกลับไปเรียนอีกครั้ง อยากให้เขามีเส้นทางเดินที่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ต้องออกจากโรงเรียนมา 2-3 ปีไปทำงาน ส่วนตนก็ต้องไปทำงานไม่ค่อยมีเวลาได้ดูแลลูก ตอนนี้เขาได้กลับมาเรียน ก็อยากให้เลือกเรียนตามที่สนใจ เลือกอาชีพที่ชอบ ที่เขาจะก้าวหน้าไปได้

นายยรรยง นิโรรัมย์

น้องอ๋า

ด้านน้องอั๋น หนึ่งในเด็กนอกระบบที่ได้กลับเข้าเรียน กล่าวว่า ต้องหยุดเรียนไปหลังจบชั้น ม.3 เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนต่อ ทั้งที่เรียนจบมัธยมต้นด้วยเกรดเฉลี่ย 3.2 ช่วงที่หยุดเรียน 3 ปี ต้องไปทำงานในโรงปูนบ้าง ทำพวงหรีดบ้าง ทั้งยังต้องช่วยแม่เลี้ยงน้องและช่วยดูแลตาที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง วันที่ครูลงมาสำรวจพื้นที่ ตนยังไม่มีเงินไปรับวุฒิการศึกษา ม.3 ที่โรงเรียน ครูจึงพาไป และตอนนี้ได้เข้าเรียน กศน. ก็ดีใจ ตั้งใจว่าจบแล้วอยากเรียนต่อเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้า เพราะมีความฝันอยากทำงานในสายงานนั้น แม้เป็นเรื่องที่ยังห่างไกล แต่การได้กลับมาเรียนอีกครั้งก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กล้าที่จะฝันและพยายามต่อไป

น้องอั๋น

ขณะที่ น้องบิ๊ก กล่าวว่า ตนออกจากโรงเรียนมาแล้ว 5 ปี เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือในห้องเรียน 5 ปีที่ผ่านมาตนช่วยงานที่บ้าน ดูแลแม่กับยาย แบ่งเบาภาระแม่จากการทำนา และมีความสนใจส่วนตัวในด้านการเลี้ยงไก่ จนสามารถขายทำรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครั้งแรกที่ครูลงพื้นที่มาตามกลับไปเรียน ตนปฏิเสธเพราะเห็นว่าหลายปีที่ผ่านมาสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ แต่เมื่อครูกลับมาที่บ้านอีกครั้งเพื่อสอบถามยืนยันให้แน่ใจ ตนก็เปลี่ยนใจบอกครูว่าจะกลับไปเรียน กศน. ให้ได้วุฒิการศึกษา

“ตอนที่ครูกลับมาที่บ้านอีกครั้ง ผมคิดว่าการได้วุฒิการศึกษาที่สูงกว่าชั้นประถม จะช่วยให้ผมต่อยอดการเรียนรู้ในเรื่องที่ผมสนใจได้ ผมชอบเลี้ยงไก่ ชอบงานด้านทำเกษตร เลยคิดว่าในอนาคตอยากเรียนต่อด้านการเกษตร เพื่อนำความรู้มาพัฒนางานที่ทำอยู่ให้ดียิ่งขึ้น” น้องบิ๊ก กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน