หลังจากคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี คอมเพล็กซ์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) เปิดให้บริการครบ 1 ทศวรรษ เป็นจังหวะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2560 ทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้บุกเบิกธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมืองไทย ตัดสินใจใช้เงินกว่า 2,500 ล้านบาท ลงทุนปิดปรับปรุงครั้งใหญ่

ล่าสุดตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2560 คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี คอมเพล็กซ์ รางน้ำ กลับมาเปิดอีกครั้งภายใต้โฉมใหม่ในเทรนด์ MIX USE ด้วยบริการเชื่อมต่อกันอย่างครบวงจร ทั้งแหล่งช้อปปิ้งเสมือนห้างสรรพสินค้าหรูหรา จากการระดมทัพสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกปลอดภาษีทั้งแบรนด์ดั้งเดิมและแบรนด์ใหม่เข้ามาปักธงขายเป็นครั้งแรก และสินค้าไทยหมวดสุขภาพ สตรีทฟู้ด ร้านอาหารนานาชาติชื่อดัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ ต่อเชื่อมกับที่ตั้งโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์

“อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มคิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานบริษัท คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีนโยบายให้ทุกคนร่วมใจลงมือเดินหน้าขับเคลื่อนทัพธุรกิจดิวตี้ฟรีให้เป็นศูนย์รวมนำรายได้เข้าประเทศ ด้วยการวางกลยุทธ์และคัดสรรความแปลกใหม่มาเสนอขายผ่านช่องทางปกติและดิจิตอลออนไลน์ให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ ควบคู่กับทำโครงการคืนประโยชน์สู่สังคม (Corporate Social Resiponibility :CSR) ภายใต้แคมเปญ “KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย” รวมถึงขานรับนโยบายล่าสุด “ช้อปช่วยชาติ” ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

หลังจากคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) ใช้เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ปรับปรุงพื้นที่ภายในดิวตี้ฟรี คอมเพล็กซ์ เสร็จเรียบร้อยแล้วโดยกลับมาเปิดบริการโฉมใหม่สมบูรณ์แบบ ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2560 พุ่งเป้ารับกลุ่มกำลังซื้อนักท่องเที่ยวเดินทางอิสระ (Free Individaul Traveller : F.I.T) ชาวไทยและต่างชาติ ภายในคอมเพล็กซ์ได้ออกแบบไฮไลต์เป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจลูกค้า 4 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 เพิ่มพื้นที่ขายภายในคอมเพล็กซ์ จากเดิม 8,000 ตารางเมตร เป็น 10,555 ตารางเมตร เพิ่มประมาณ 2,500 ตารางเมตร สร้างความโอ่อ่าในแบบเรียบหรูสบายตา สะดวกสบายการช้อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน

ส่วนที่ 2 นำแบรนด์ระดับโลกใหม่ PRADA, CUCCI เข้ามาจำหน่ายยังร้านดิวตี้ฟรีในเมืองแห่งแรก ๆ และยังได้พันธมิตรแบรนด์ใหม่อย่าง Alexander McQueen และอีกหลายแบรนด์เข้ามาเสริมทัพ

ส่วนที่ 3 แปลงโฉมพื้นที่คอมเพล็กซ์ ชั้น 3 ให้กลายเป็นศูนย์รวมแหล่งอาหารแถวหน้าของเมืองไทยและนานาชาติ 17 ร้าน ประกอบด้วย “สตรีทฟู้ด” บริการร้านอาหารริมทางชั้นนำของเมืองไทยมาไว้ในบริเวณเดียวกัน และร้านอาหารแบรนด์นานาชาติยอดนิยมสไตล์อิตาลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน

ส่วนที่ 4 ออกแบบพื้นที่บริการพิเศษ โซนแฮงค์เอาต์ฟรีสำหรับนักเดินทางคือ Traveller Club ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 (พื้นที่รอยต่อทางเชื่อมไปยังโรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ) และโซนเลาจน์บริการพิเศษแก่ผู้ถือบัตรสมาชิกคิง เพาเวอร์ แยกเป็นเลาจน์ธรรมดากับพรีเมี่ยมเลาจน์ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3

“อภิเชษฐ์” กล่าวว่า ภายในคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ โฉมใหม่ ได้จัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าอย่างชัดเจน ตั้งแต่บริเวณ ชั้น 1 ตื่นตาตื่นใจกับสินค้าแบรนด์บูติกมากมายครบทุกแบรนด์ ชั้น 2 ศูนย์รวมนาฬิกาแบรด์หรูหรา น้ำหอม เครื่องสำอาง แฟชั่นกีฬา สินค้าอิเลคทรอนิกส์เครื่องใช้ไฟฟ้า เทรนด์ใหม่ ๆ ชั้น 3 ปรับปรุงใหม่ทั้งชั้นแบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนแรก จัดทำเป็นพื้นที่ขายสินค้าไทยทั้งหมดมีทั้งสินค้าแปรรูป ผลิตภัณฑ์โอท็อป สินค้าประชารัฐ โซนสอง สตรีทฟู้ดและร้านอาหารแบรนด์ดังระดับอินเตอร์จากทุกมุมโลก ภายในสิ้นปีนี้จะมีภัตตาคารสมบูรณ์โภชนา มาเปิดบริการมีพื้นที่นั่งประมาณ 70 ที่นั่ง มาเปิดบริการผู้นำอาหารทะเลของไทยและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่ชื่นชอบอย่างมาก

สำหรับสตรีทฟู้ดที่ยกขึ้นมาไว้ใน คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย ร้านอาหารหลัก ๆ ได้แก่ ร้านผัดไทยพิสมัย เกาเหลารองเมือง ก๋วยจับคอนแวน หูฉลามสกาล่า และร้านอาหารอินเตอร์แบรนด์ดังแยกตั้งเป็นอิสระอย่าง ร้าน ElGAUCHO ร้านนารา ร้าน Brekkie เพื่อคนรักสุขภาพ ร้านอาหารญี่ปุ่น Nantsuttei Ramen ส่วนของหวานก็มีร้าน Make Me Mango ปรุงสูตรเด็ดข้าวเหนียวมะม่วงหลากหลายสไตล์ ร้านชานม KOI The จากไต้หวัน คนทั่วไปสามารถแวะเข้าใช้บริการได้อย่างสะดวกสบายไม่ต้องเดินทางไปยังร้านต้นตำรับ เพราะสตรีทฟู้ดคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ เปิดบริการทุกวัน 10.00-22.30 น.

อภิเชษฐ์ยืนยันว่าได้วางกลยุทธ์ทำสำรวจและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติก่อน จนได้ข้อมูลที่ตกผลึกถึงแต่ละส่วนที่นำมาเปิดบริการจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

รวมทั้งบริเวณด้านนอกอาคารยังลงทุนเกือบ 100 ล้านบาท สร้างลานน้ำพุบริเวณด้านหน้าคอมเพล็กซ์ตั้งชื่อเก๋ ๆ ว่า Dancing Fountain ระบบดิจิตอล ทำให้น้ำพุเต้นระบำได้ท่ามกลางการบรรเลงดนตรีต่าง ๆ และสามารถเนรมิตทำเป็นลานกิจกรรมรับจัดงานแสดงต่าง ๆ ครอบคลุมทุกอีเวนต์กลางแจ้ง ด้วยการยกลานน้ำพุลงใต้ดินแล้วปรับเป็นพื้นราบจัดงานตามปกติได้

ระหว่างวันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2560 คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ เตรียมจัดกิจกรรมฉลองการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 28 อย่างยิ่งใหญ่คืองาน “28th Anniversary Discover Endless Surprises” ตลอด 4 วัน จัดทัพสินค้าแบรนด์อินเตอร์และสินค้าไทยมาลดสูงสุด 30 % พร้อมของรางวัลมากมาย และตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ทุกสาขาก็พร้อมใจจัดโปรโมชั่นด้วยเช่นกันทั้งสาขาในเมืองที่ ศรีวารี ภูเก็ต พัทยา และในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่

อภิเชษฐ์กล่าวถึง แผนเชิงรุกการขายสินค้าดิวตี้ฟรีผ่านออนไลน์ www.kingpower.com ได้นำดิจิตอลเข้ามาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้เพิ่มส่วนแบ่งนักช้อปออนไลน์ต่างชาติได้ถึง 40 % โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งมีความเชี่ยวชาญซื้อสินค้าออนไลน์ขยับจากเดิม 5 เป็น 35 % ในอนาคต 1-2 ปีหน้า จีนจะขยับยอดซื้อออนไลน์สูงถึง 60 % ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ส่วนแบ่งตลาดคนไทยในระยะแรกมีถึง 8090 % ตอนนี้จีนแซงขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ตามแผนช่วงไตรมาสแรก ปี 2561 เตรียมเปิดการขายสินค้าผ่าน Application kingpower ด้วยอีกทาง

 

สำหรับ “โครงการเดินหน้าธุรกิจเพื่อประโยชน์คืนสู่สังคม (CSR) ภายใต้ชื่อ “KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย” เริ่มจาก SPORT POWER ขณะนี้ทำสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแห่งแรกส่งมอบเสร็จเรียบร้อยแล้วที่โรงเรียนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ วางแผนจะทำเป็นสนามต้นแบบโปรโมตให้สนามอื่น ๆ นำไปสร้างต่อไป ตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี ทั้งหมด 100 สนาม เฉลี่ยปีละ 20 สนาม เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีนี้ยังได้เดินทางไปดอยเต่า เชียงใหม่ เตรียมสร้างสนามแห่งฟุตบอลแห่งที่สองในภาคเหนือ

โดยได้ทำต่อเนื่องคู่ไปกับโครงการทยอยแจกลูกฟุตบอล 1 ล้านลูก ซึ่งทาง “ตูน บอดี้สแลม” ให้เกียรตินำลูกฟุตบอลของ คิง เพาเวอร์ ไปร่วมแจกตามชุมชนต่าง ๆ ด้วย ระหว่างการวิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ระหว่างเส้นทางวิ่งจากใต้สู่เหนือสุดของประเทศไทย

เป็นกลยุทธ์ทำให้ชุมชนทั่วประเทศเห็นถึงประโยชน์ของกีฬาที่จะนำมาพัฒนาท้องถิ่นทั่วไทยทั้งเรื่องสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติเข้มแข็ง

การเดินหน้าธุรกิจของ “คิง เพาเวอร์” ถือเป็นส่วนหนึ่งของพลังคนไทย ที่พร้อมจะก้าวนำเศรษฐกิจประเทศสู่ความมั่งคั่งอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน