วัดสุทธจินดาจัดรำลึก107ปี‘พระอริยเวที’ – วันพฤหัสบดีที่ 29 ต.ค.2563 น้อมรำลึกครบรอบ 107 ปี ชาตาล “พระอริยเวที” หรือ หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา อดีต เจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา

อีกทั้งเป็นสหธรรมิกกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฒ โน) และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก

มีนามเดิมว่า เขียน ภูสาหัส เกิดเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2456 ที่บ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ บิดา-มารดาชื่อ นายสังข์และนางค้อม ภูสาหัส

เข้าพิธีบรรพชา เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2470 ที่วัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ครั้นเมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2477 โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระโพธิวงศาจารย์ (สังข์ทอง นาควโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระญาณดิลก (พิมพ์ ธัมมธโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พ.ศ.2485 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในสังกัดสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ลำดับงานคณะสงฆ์ พ.ศ.2478-2481 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดสุทธจินดา และวัดศาลาทอง จังหวัดนครราชสีมา

พ.ศ.2482 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร และสำนักเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสังฆสภา พ.ศ.2490 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา

พ.ศ.2494 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2490 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระอริยเวที”

ได้เข้ากราบฟังธรรม ปฏิบัติธรรมในสำนักของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากจบเปรียญธรรม 9 ประโยคใหม่ๆ โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) นำไปฝาก

ทั้งนี้ เพื่อประสงค์ให้ได้เป็นศาสนทายาทที่มีความหนักแน่นมั่นคง ทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุสามเณรในภายภาคหน้าเมื่อได้ฟังธรรม และรับคำแนะนำในการปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้ว จึงได้ออกเดินธุดงค์กัมมัฏฐานไปตามป่าเขาลำเนาไพรในจังหวัดต่างๆ จนออกไปถึงประเทศลาว และแวะเวียนมากราบฟังธรรมเป็นระยะๆ

ด้วยผลานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมจากสำนักของพระอาจารย์มั่น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิปัสสนาธุระของประเทศไทย โดยเมื่อครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาของ พระอาจารย์มั่น กัณฑ์แรกเรื่อง “โทษของการเกิด” และกัณฑ์ที่สองเรื่อง “มุตโตทัย” (ธรรมะเป็นเครื่องพ้น) หลวงปู่เขียน ถึงกับลุกจากที่นั่งไปกราบพระอาจารย์มั่น พร้อมกล่าวคำปฏิญาณตนอย่างเด็ดเดี่ยวต่อหน้าพระอาจารย์มั่นเป็นภาษาบาลีว่า

“สาสเน อุรํ ทตฺวา ขอมอบกายถวายชีวิตทั้งหมดนี้แก่พระพุทธศาสนา ชีวิตทั้งชีวิตนี้ขอมอบไว้ในพระศาสนา ขอให้ท่านพระอาจารย์โปรดเป็นสักขีพยานด้วยเถิด”

จากนั้นตราบจนสิ้นอายุขัย ได้กระทำ สัจวาจานั้นให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย ถึงความเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส

ทั้งอุทิศตน ทั้งบำเพ็ญปฏิบัติทางด้านประโยชน์ให้แก่ทางด้านพระพุทธศาสนา ไม่น้อย ทั้งด้านการศึกษา ทางด้านการปกครอง ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ต่อมาได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดสุทธจินดา ท่านบริหารวัด ช่วยสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับวัด ทั้งตั้งเป้าหมายสูง มีระเบียบกับสามเณรและภิกษุอย่างเคร่งครัด รวมทั้งคัดเลือกหมู่คณะให้ไปรับการอบรมเป็นนักเรียนครู และนักเรียนการปกครอง ที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อให้กลับมาเป็นบุคลากรบริหารวัดช่วยเจ้าอาวาส

อนุสรณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิ “สุทธจินดาราชสีมามูลนิธิ”

ต่อมาลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดสุทธจินดา และตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ออกธุดงค์กัมมัฏฐานอย่างจริงจังอยู่ในป่าในถ้ำ จนเป็นที่พอแก่กาลแล้ว จึงกลับมาสู่มาตุภูมิและสร้างวัดรังสีปาลิวัน

จนกระทั่งละสังขาร เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2547

สิริอายุ 90 ปี พรรษา 68

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน