คอลัมน์ ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน

ทบทวนกันอีกที ด้วยข้อมูล ไม่ใช่ด้วยความเชื่อหรืออคติ ถึงคำพิพากษาของศาลอาญา เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตัดสินให้จำคุกจำเลย 2 คน ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชนหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยคดีนี้มีจำเลยทั้งสิ้น 5 คน ศาลลงโทษ 2 ราย และส่วนอีก 3 รายนั้น ยกฟ้อง

คดีนี้เรียกกันว่าคดีชายชุดดำ

จำเลยชุดนี้ ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 คืนแรกที่มีการปะทะกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมเสื้อแดง

หลังจากนั้นความรุนแรงยังต่อเนื่องอีกกว่าเดือน ไปจบในวันที่ 19 พฤษภาคม

ลงเอยมีคนตายทั้งหมด 99 ศพ!

แต่คดีนี้เป็นเรื่องเฉพาะคืนวันที่ 10 เมษายน

โดยในคืนนั้น มีคลิปเห็นกลุ่มชายชุดดำรัวปืนดังสนั่นหวั่นไหว ในพื้นที่ย่านที่เกิดเหตุปะทะกันดังกล่าว

แต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า ชายชุดดำนั้นคือใคร และที่เห็นยิงปืนนั้น ยิงใส่ใครหรือโดนใครบ้าง ไม่ปรากฏในคลิป

ส่วนจำเลย 5 คนที่ถูกจับกุมนั้น มีพยานเจ้าหน้าที่ทหาร เห็นรถตู้สีขาวแล่นผ่านแล้วเลื่อนบานประตูตะโกนด่าทหาร ซึ่งพยานจำหน้าได้ว่าเป็นจำเลยที่ 1 และเห็นว่าภายในรถมีอาวุธปืน

จึงมีการตามล่ารถคันนี้ และยังมีพยานอีกปากที่รู้จักกลุ่มคนเหล่านี้ ชี้เบาะแสสถานที่นำรถไปจอด

จากนั้นมีการจับกุมทั้ง 5 มาดำเนินคดีและส่งฟ้อง

ลงเอยศาลตัดสินเมื่อวันที่ 31 มกราคม ว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน 2 ราย และยกฟ้อง 3 ราย

โดยตัดสินในข้อหามีอาวุธปืนสงครามและเครื่องกระสุน และพกพาเข้ามาในที่สาธารณะ

แต่คดีนี้ ไม่มีพยานหลักฐานว่า จำเลยชุดนี้ ได้ใช้อาวุธปืนยิงหรือไม่อย่างไร มีเพียงพยานหลักฐานว่ามีอาวุธและพกพาอาวุธ

ขณะเดียวกัน คดีนี้ยังมีอีก 2 ศาล ยังไม่ถึงที่สุด

ดังนั้น ถ้าไม่ใช่อคติ ก็อย่าเพิ่งสรุปว่า นี่คือคดีที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามีชายชุดดำยิงทหารและผู้ชุมนุม!!

เพราะจำเลยไม่ได้ถูกกล่าวหาเรื่องใช้อาวุธปืนยิงใครในคืนนั้น

อีกประการ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจลบล้างพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ ศอฉ.ยิงใส่ผู้ชุมนุม มีคลิปเห็นเล็งยิง ตะโกนสั่งให้ยิง

โดยเฉพาะวิดีโอบันทึกนาทียิงจากรางรถไฟฟ้าเข้าไปในวัดปทุมฯ ที่มีคนตาย 6 ศพ

โดยคนยิงไม่มีอาการก้มหลบ แปลว่าไม่มีการยิงต่อสู้จากอีกฝ่าย

และที่สำคัญศาลชี้ผลไต่สวนชันสูตรศพไว้แล้ว 17 ราย ว่าตายด้วย “กระสุนปืนจากฝ่ายศอฉ.”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน