“วงค์ ตาวัน”

กระแสข่าวปรับครม. ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทุกวัน เพราะเชื่อว่าผู้นำรัฐบาลยังคงกำลังขบคิดไตร่ตรองให้รอบคอบรอบด้าน ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ปรับแค่เก้าอี้ที่ว่างลง คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมทั้งเก้าอี้รัฐมนตรีที่ล่อแหลมต่อการตรวจสอบกรณีถือหุ้นในเอกชนเกิน 5%

คือปรับเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ หรือจะถือโอกาสนี้ปรับแบบล้างไพ่ เพื่อสร้างผลงานในช่วงสุดท้าย

ระหว่างนี้เอง จึงมีข้อเสนอมากมายจากหลายฝ่าย

โดยส่วนใหญ่เรียกร้องตรงกันว่า ต้องจัดทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจใหม่หมด เพื่อแก้วิกฤตเงินทอง การค้าขาย และปากท้องประชาชน

แปลตรงๆ ก็คือ ทุกฝ่ายพยายามจะบอกกับผู้นำรัฐบาลว่า ปัญหาข้าวยากหมากแพง เป็นเรื่องใหญ่ในเวลานี้!

เรื่องปากท้องนั้นวัดได้ไม่ยาก เอาแค่รายได้เกษตรกร ดูจากราคาพืชผลต่างๆ ข้าวก็เหลือตันละไม่กี่พัน ยางพาราก็โลละ 40 บาท

ข้อเรียกร้องของวงนอกที่นำเสนอผู้นำรัฐบาล จึงมุ่งตรงไปที่กระทรวงเศรษฐกิจ เน้นๆ ที่เกษตรฯ และพาณิชย์

รวมทั้งเสนอให้ลดสัดส่วนรัฐมนตรีที่มาจากทหารลงไป ให้ได้ส่วนผสมรัฐบาลใหม่ คือมีพลเรือนมืออาชีพเข้ามา บริหารงานมากขึ้น

ดังนั้นถ้ารวมข้อเสนอในช่วงระยะนี้ อาจจะสรุปอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า

รัฐบาลทหารนั้น เด่นด้านความมั่นคง แต่ไม่เหมาะกับการบริหารประเทศชาติอย่างรอบด้าน

รวมทั้งที่ถือว่าล้มเหลวก็คือ ด้านเศรษฐกิจ

ไม่เช่นนั้นจะกระหึ่มไปด้วย ข้อเรียกร้องให้ปรับใหญ่ ทีมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจการค้าเช่นนี้หรือ!?

อันที่จริงก็เข้าใจได้ไม่ยาก

ไม่อยากโทษเฉพาะคณะทหารที่เข้ามาบริหารงานตลอด 3 ปีเศษที่ผ่านมา

แต่อยากจะให้ทั้งสังคมได้ร่วมกันสรุปบทเรียนว่า เลิกได้แล้วกับการหาทางออกแบบคิดสั้น

พอได้แล้วกับวิธีคิดที่ว่า เมื่อเบื่อหน่ายนักการเมือง ก็เรียกหาอำนาจนอกระบบ ให้เข้ามาหยุดประชาธิปไตย หยุดนักการเมืองโกงกิน

คำถามที่ควรจะถามตัวเองได้แล้วในวันนี้ก็คือ แล้วแก้ไขการโกงได้จริงหรือ!!

มิหนำซ้ำการบริหารงานก็ขาดความรอบด้านแบบรัฐบาล ปกติ

เกลียดชังนักการเมืองขนาดไหน แต่ระบบประชาธิปไตย ก็มีรอบเวลาให้เราตัดสินได้ใหม่ ให้เลือกตั้งกันใหม่ 4 ปีหน เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ได้

ที่สำคัญนักการเมืองนั้นแคร์ประชาชน นักการเมือง นั้นต้องเอาใจประชาชน ฟังเสียงประชาชน

ถามตัวเองอีกสักครั้งว่า ไม่ชอบรัฐบาลที่รับใช้ประชาชน

กลับชอบรัฐบาลที่มาเป็นเจ้านายคอย สั่งสอนประชาชนอย่างนั้นหรือ!?!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน