ประเด็นที่กลายเป็นข่าวในวันเด็กแห่งชาติที่ผ่านมา เมื่อมีการนำการ์ดอวยพรจากเด็กๆ ทั่วประเทศ ที่ส่งมาถึงนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เนื่องในวาระวันปีใหม่และวันเด็ก ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะ
หนึ่งในส.ค.ส.อวยพร จากเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขียนข้อความว่า “ขอให้ท่านนายกฯ สุขภาพแข็งแรง”
พร้อมกับมีข้อความในวงเล็บด้วยว่า เงินดิจิทัลจะได้ตอนไหน
ทำให้นายกฯ เศรษฐา ต้องตอบข้อถามนักข่าวในประเด็นนี้ว่า ถ้าเด็กม.4 มีอายุถึง 16 ปี ก็มีสิทธิ์ได้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทด้วย
ทั้งหลายทั้งปวง สะท้อนให้เห็นว่า กระแสความต้องการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทนั้น ยังไม่จางหายไปไหน
คงต้องไปดูกันว่า ในหมู่เด็กนักเรียนมัธยมที่อายุถึง 16 ปีมีสิทธิ์นั้น มีมากน้อยเพียงใด!?
มองในแง่ที่ว่า เด็กมัธยม 4 ที่เข้าเกณฑ์ได้รับดิจิทัลวอลเล็ต คงต้องการได้สิทธิ์นี้
หรือเด็กมัธยม 4 ที่อายุยังไม่ถึง แต่เรียกร้องสิทธิ์นี้ แทนพ่อแม่พี่น้องคนในครอบครัว
แต่ทั้งหมด เข้าใจได้ไม่ยากว่า เศรษฐกิจการค้าขายฝืดเคืองจริงๆ จนต้องพากันเรียกหา เงินดิจิทัลวอลเล็ต
ก่อนหน้านี้ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ออกมาสนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยตัวเอง
โดยเจ้าสัวธนินท์มีมุมมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่ปกติ ขณะที่ดิจิทัลวอลเล็ต คือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะไม่ปกติ!
เจ้าสัวเชื่อว่า จะไม่เป็นการเสียวินัยทางการคลัง
เพราะไทยมีวินัยการคลังอยู่ในอันดับท็อปของโลก มีหนี้ต่อจีดีพีเพียง 61% เท่านั้น
ทั้งยังเน้นย้ำว่า อย่าไปกลัวเงินเฟ้อ มองว่าเงินฝืดอันตรายกว่า
แม้จะมีการโจมตีว่า เจ้าสัวจะได้โอกาสจากดิจิทัล 1 หมื่นบาท ร้านสะดวกซื้อจะโกยเงินมหาศาล
แต่ความจริงแล้ว โครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ไม่ได้บังคับว่าต้องเข้าสะดวกซื้อ ร้านเจ้าสัว
สามารถเข้าร้านชำ ร้านริมถนน ไปจนถึงรถพุ่มพวงด้วย
การกำหนดพื้นที่ใช้จ่ายในอำเภอตามบัตรประชาชน คือ การกระจายรายได้ลงชุมชนอย่างดี!
ยิ่งหมู่บ้านห่างไกล ไม่มีสะดวกซื้อ จะเป็นโอกาสของรถพุ่มพวงโดยตรง
ประโยชน์ได้ทั้งเจ้าสัว ไปจนถึงรถพุ่มพวง ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะใคร
แถมไม่แค่เจ้าสัวและรถพุ่มพวงที่รอคอย ยังมีเด็กม.4 ที่มาร่วมรอคอยอีกด้วย!!
วงค์ ตาวัน