เหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าสถานีสยาม ระหว่างกลุ่มทะลุวังและกลุ่มศปปส.หรือศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน ต่อยตีกันอลหม่านเกือบครึ่งชั่วโมง วุ่นไปถึงร้านค้าต่างๆ ต้องปิดประตูสถานีรถไฟฟ้ากันวุ่นวาย
สร้างความวิตกกังวลตามมาจากผู้คนจำนวนมาก เพราะอาจพัฒนาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ดังที่มีการโพสต์ข้อความตามมาหลังจากนั้นในโลกออนไลน์ ให้ใช้ความรุนแรงมากขึ้นกับกลุ่มทะลุวัง เช่น คราวหน้าจับโยนลงจากสกายวอล์กจะได้จบ แบบนี้บ่งบอกแนวโน้มที่ไม่ดี
ยิ่งเมื่อความขัดแย้งระหว่าง 2 กลุ่มดังกล่าว เป็นประเด็นสถาบันเบื้องสูง ยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีความรู้สึกมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก
ทำให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นทันที
บ้านเมืองเราไม่ควรมีเหตุการณ์รุนแรงป่าเถื่อนเช่นนั้นอีก!!
ถ้ามองเฉพาะเหตุการณ์ปะทะกันที่สกายวอล์ก จุดเริ่มต้นมาจากการที่มวลชนกลุ่มหนึ่ง เข้ามาประชิดอีกฝ่าย
มาด้วยอารมณ์ดุเดือดแบบนั้น ก็ต้องนำมาสู่การต่อยตีกันทันที
มวลชนที่คิดต่างกันอย่างสุดขั้ว ถ้าถึงเนื้อถึงตัวกันเมื่อไหร่ ความรุนแรงต้องเกิดขึ้นแน่นอน!!
แต่ถ้ามองย้อนไป มีความขัดแย้งสั่งสมมาตลอด ระหว่างความคิดต่าง และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาเกิดกรณีแหลมคมเมื่อไม่กี่วันก่อน อาจจะเป็นชนวนที่นำมาสู่การแตกหักดังกล่าว
จึงยิ่งน่าห่วงใยอย่างมาก สำหรับประเด็นปัญหาความขัดแย้ง 2 กลุ่มนี้ ไม่ควรปล่อยให้ลุกลามต่อไปสู่ขั้นรุนแรงถึงชีวิตเลือดเนื้อ!
เท่าที่เห็น เริ่มมีการออกมาเตือนสติ ประเด็นท่าทีในการเคลื่อนไหว ต้องมีขอบเขตเหมาะสม มีวุฒิภาวะ
ถ้านำไปคิดต่อ นำไปทบทวน น่าจะเป็นเรื่องดี
การเคลื่อนไหวบางประเด็น ถ้าล้ำเส้นเกินไป จะกลายเป็นกระแสตีกลับ และลุกลามต่อไปถึงฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เช่น สส.ที่ไปเป็นนายประกันให้ในคดีเดิมๆ จะมีผลกระทบไปด้วย!!
ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายนั้น ควรทบทวนท่าทีที่มีแนวโน้มใช้กำลังมากกว่าการพูดจา
สุดท้ายแล้วต่อให้เกิดการใช้ความรุนแรงแบบ 6 ตุลาฯ ก็ไม่จบ
ความแตกแยกจะพัฒนาไปสู่รูปแบบอื่น ที่หนักหนาสาหัสกว่า เข้าป่าจับปืนรุนแรงมากขึ้น
การต่อต้านกลุ่มทะลุวัง มีได้หลายแนวทาง ยึดหลักสันติวิธีน่าจะดีที่สุด
ไม่ทำให้บรรยากาศบ้านเมืองโดยรวมเสียหาย ไม่กระทบธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว
ตีกันกลางย่านการค้าใหญ่ ในเที่ยงวันเสาร์แบบนั้น ไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย!!
วงค์ ตาวัน