คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง

การอภิปรายทั่วไปเมื่อวันที่ 10 กันยายน สมควรต้องให้ความสนใจเป็นอย่างสูง

ไม่เพียงแต่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ จะชู 3 นิ้วกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หาก
น.ส.จิรพร สินธุไพร
ยังเตรียมใบลาออกให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนาม

ยิ่งกว่านั้นยังสำทับตามมาจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ท่วงทำนองสุภาพ นุ่มนวลอย่างยิ่งด้วยการร่ายจำเรียงอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่บทสรุปให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุด

แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีนายกรัฐมนตรี

 

หากถือ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นำร่อง

ก็ต้องยอมรับว่าบทบาทในการปิดเกม ไม่ว่าจะมาจาก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะมาจาก นายสุทิน คลังแสง พรรคเพื่อไทย

คึกคักและหนักแน่นด้วยเนื้อหาเข้มข้น

เรียงลำดับบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน ก่อนจะทุบโต๊ะลงไปว่าสมควรร้องเพลง “ถอยดีกว่า”

แล้วตามมาด้วยประโยค “ไม่เอาดีกว่า”

 

ต้องยอมรับว่า “อารมณ์” ในทางสังคมกำลังก่อรูปขึ้นอย่างเป็นเอกภาพ

ไม่ว่าอารมณ์อันปรากฏผ่าน “แฟลชม็อบ” แห่งแล้วแห่งเล่าของ “เยาวชนปลดแอก” ที่ลามไปทั่วประเทศ ประสานเข้ากับที่เห็นเด่นชัดผ่าน “นักเรียนเลว”

โดยเฉพาะที่จะเห็นใน “19 กันยา ทวงอำนาจ คืนราษฎร”

เมื่อนำมาวางเรียงเคียงกับการนำเสนอของ ส.ส.ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย

ทุกปลายหอกล้วนพุ่งใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

อารมณ์สังคมอย่างนี้มิใช่ว่าอยู่ๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ

ตรงกันข้าม สะสมมาตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ผนวกเข้ากับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ทำให้ภาพแจ่มชัด ณ เบื้องหน้าประชาชน

กลายเป็น “กระแส” กลายเป็น “อารมณ์” ร่วม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน