บก.ตอบจดหมาย
สำนักงานประกันสังคมชี้แจง
เรื่อง ชี้แจงผู้ประกันตนสอบถามการส่งเงินสมทบกรณี
ชราภาพ
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสด
อ้างถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 22
กันยายน 2559 หน้า 5 คอลัมน์ บ.ก.ตอบจดหมาย
ตามที่อ้างถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด เสนอข่าว มีผู้ประกันตนสอบถามการส่งเงินสมทบและสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ นั้น
Advertisement
สำนักงานประกันสังคม ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. สำนักงานประกันสังคมเริ่มหักเงินสมทบกรณีชราภาพจากผู้ประกันตนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2541 ดังนั้น การนับระยะเวลาการส่งเงินสมทบกรณีชราภาพจะเริ่มนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2541 จนถึงปัจจุบันที่มีการนำส่งเงินสมทบรวมกัน
2. ตามกฎหมายประกันสังคมผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน เมื่อสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิได้รับเป็นบำนาญชราภาพ ไม่สามารถขอรับเป็นบำเหน็จได้
3. สำนักงานประกันสังคมได้เตรียมแนวทางปฏิรูประบบบำนาญชราภาพเพื่อให้กองทุนมีความเพียงพอและยั่งยืน ได้แก่ ปรับฐานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ ขยายอายุเกษียณ ปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญ และปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงตามแนวทางใดๆ อาจส่งผล กระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความรู้สึกของ ผู้ประกันตน ดังนั้น ก่อนที่จะปรับปรุงการดำเนินการต่างๆ จะสอบถามความคิดเห็นจากผู้มีส่วนร่วมออมเงินทุกฝ่ายเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
นางลักขณา บุญสนอง
ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติราชการแทน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
กรมบัญชีกลางชี้แจงข้อสงสัย
เรื่อง ชี้แจงข่าว กรณีกรมบัญชีกลางเตรียมดึงบริษัทประกัน
เอกชนเข้ามากำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษา
พยาบาลข้าราชการ
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสด
อ้างถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด (คอลัมน์ บ.ก.ตอบจดหมาย) ฉบับ
ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2559
ตามที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด (คอลัมน์ บ.ก.ตอบจดหมาย) วันที่ 5 ตุลาคม 2559 ได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับกรณีให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการระบบค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการแทนรัฐ และกรณีการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลซ้ำซ้อน นั้น
กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า กรณีการให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการระบบค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ ในการนำระบบประกันสุขภาพเอกชนมาใช้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงเดือนธันวาคม 2559 อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางขอย้ำว่า การศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว มีหลักการที่สำคัญคือ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ และบุคคลในครอบครัวต้องได้รับเช่นเดิมหรือดีกว่าเดิม เช่น สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ณ สถานพยาบาลของทางราชการได้ทุกแห่ง สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทุกโรค รวมทั้งโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูงต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ตามความจำเป็นโดยไม่มีการจำกัดจำนวนครั้ง ตลอดจนยังคงสามารถใช้ระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดิม เป็นต้น ขอให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรอนสิทธิหรือจะไม่ได้รับสิทธิเช่นเดิม
จึงเรียนมาเพื่อโปรดให้ความอนุเคราะห์เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้สาธารณชนทราบต่อไปด้วย จักขอบคุณมาก
ขอแสดงความนับถือ
นางพรกมล ประยูรสิน
รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมบัญชีกลาง