เหมือนกับการย้าย นายวรานนท์ ปีติวรรณ อันส่งผลให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เรื่อง “อื้อฉาว” อันมาจากกระทรวงแรงงานจะจบ
เป็นการจบเพียง 2 เรื่องเท่านั้น คือ 1 นายวรานนท์ ปีติวรรณ มิได้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการจัดหางาน และ 1 พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล มิได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
แต่ “แผนงาน” และ “โครงการ” ยังไม่จบ
ที่สำคัญก็คือ การจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานข้ามชาติก็ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อทำให้การคัดกรองแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะกลุ่มประมงใน 22 จังหวัด ที่ยังตกค้างอยู่ยังไม่ได้ดำเนินการจำนวนไม่ต่ำกว่า 7,000 คน
เครื่องสแกนม่านตานี่แหละคือ ประเด็น
หากไม่มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 เพื่อย้าย นายวรานนท์ ปีติวรรณ ออกจากตำแหน่ง แสงแห่งสปอตไลต์ย่อมมิได้ฉายจับไปยังเครื่องสแกนม่านตา
นี่คือปัญหา นี่คือปมอันเป็นความขัดแย้ง
ที่ระบุว่าการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เป็นเหตุผลส่วนตัว เป้าหมายเพื่อไปประกอบธุรกิจ สร้างความสงสัยเป็นอย่างมาก
ในเมื่อปฏิกิริยาของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เด่นชัด
เด่นชัดว่าไม่เพียงแต่กรณีของอธิบดีกรมการจัดหางานไม่ได้รับการปรึกษาจากหัวหน้าคสช. หากแต่ยังไม่เห็นด้วยกับคำสั่งตามมาตรา 44 ครั้งนี้
ตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางานต่างหาก คือเหตุผล
แม้ในที่สุด พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เมื่อลาออกแล้วก็ปิดปากเงียบ เช่นเดียวกับ นายวรานนท์ ปีติวรรณ เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงก็ก้มหน้ารับคำสั่งเยี่ยงข้าราชการที่ดี
แต่ที่ไม่เงียบก็คือการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา
มีความจำเป็นอย่างแน่นอนในการคัดกรองแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงานประมงที่จำเป็นต่อภาคเศรษฐกิจ
แต่คำถามก็คือ จะดำเนินการจัดซื้ออย่างไร
ไม่ว่าอธิบดีกรมการจัดหางานคนใหม่ ไม่ว่าปลัดกระทรวงแรงงาน ไม่ว่ารักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงถูกจับตามองจากสังคม
ทั้งหมดเนื่องมาจากการลาออกของ “รัฐมนตรี”
พลันที่การจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาเข้ามาอยู่ใน “โฟกัส” ก็บ่งชี้อย่างเห็นเป็นรูปธรรมว่ากรณีการโยกย้ายหรือการลาออกในกระทรวงแรงงานเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ
มิได้เป็น “เรื่องส่วนตัว”
คำว่า “เรื่องส่วนตัว” เสมอเป็นเพียงการยกขึ้นมาเป็นเหตุผลเพื่อทำให้ความขัดแย้งซึ่งดำรงอยู่สงบนิ่ง ไม่กลายเป็นประเด็น ไม่กลายเป็นปัญหา