วิเคราะห์การเมือง
ประกาศและคำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน เป็นคำสั่งที่มาพร้อมกับ “รัฐประหาร” ทุกครั้งในสังคมการเมืองของประเทศไทย
เด่นชัดก็คือ รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2500
เด่นชัดมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ รัฐประหาร “ซ้ำ” อีกคำรบ 1 ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในเดือนตุลาคม 2501
เป้าหมายก็คือ ห้าม “การเคลื่อนไหว”
เหมือนกับคณะรัฐประหารต้องการจำกัดสิทธิ์และลิดรอนต่อพรรคการเมืองและนักการเมือง แต่ผลสะเทือนกว้างไกล ครอบคลุมไปถึงประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
เป็นคำสั่งและประกาศอันสะท้อนลักษณะ “เผด็จการ” อย่างแน่นอน
นั่นก็คือ เป็นคำสั่งให้ยกมือขึ้น นั่นก็คือ คำสั่งให้ยุติบทบาทและการเคลื่อนไหวในทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง ปล่อยให้คณะรัฐประหารดำเนินการทุกอย่างไปตามความต้องการ
คำถามก็คือ แล้ว “สำเร็จ” หรือไม่
หากประเมินจากสภาพและความสำเร็จจากประกาศและคำสั่งนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา เหมือนกับจะมากด้วยพลานุภาพ
ไม่มีการประชุมพรรคการเมือง กิจกรรมทุกอย่างยุติ
กระนั้น ความรับรู้ที่สัมผัสได้อย่างต่อเนื่องก็คือ สามารถปิดปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หรือไม่ สามารถปิดปาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ได้หรือไม่
ตอบได้เลยว่า ไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น เมื่อประสบเข้ากับสถานการณ์ใหญ่ๆ อยู่ในความสนใจอย่างเช่นการร่างรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองก็มิได้อยู่นิ่งเฉย ตรงกันข้าม แกนนำของพรรคได้ออกมาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง บางพรรคถึงกับออกมาเป็น “แถลงการณ์”
สะท้อนว่า พรรคการเมืองไม่ได้หยุดนิ่ง นักการเมืองไม่ได้อมสาก
ในอีกด้านจึงเท่ากับยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่า มาตรการของประกาศและคำสั่งเช่นนี้ทำให้พรรคการเมืองและนักการเมืองจำเป็นต้องดิ้นรนและหาทาง
เมื่อทำ “บนดิน” ไม่ได้ก็จำเป็นต้องเคลื่อน “ใต้ดิน”
กลไก “เผด็จการ” นั่นเองทำให้กรรมวิธีในการเคลื่อนไหว กระบวนการในการต่อสู้เพื่อนำเสนอความคิด แตกแขนง แยกสาขาออกไป
ยิ่งในยุคแห่ง “โซเชี่ยล มีเดีย” การติดต่อสัมพันธ์กันและกันยิ่งคึกคัก
ไม่เพียงแต่จะเลือกใช้ทวิตเตอร์ ไม่เพียงแต่จะเลือกใช้เฟซบุ๊ก หากยังมีการติดต่อผ่านไลน์ปรึกษาหารือและหนทางในการเคลื่อนไหว
แบบที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้กับ “แฟนเพจ” กว่า 5 ล้านของตน
จึงอาจกล่าวได้ว่า คำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนจึงแทบไม่มีความหมายอะไรในทางเป็นจริง
ตรงกันข้าม มาตรการเช่นนี้กลับไปกระตุ้นเร้า “ต่อม” แห่งการคิดประดิษฐ์ค้นกระบวนการใหม่ๆ มาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์