คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับท่าทีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จุดพลุประเด็นปรองดองขึ้นในสังคม
โดยมีแนวทางเพื่อให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ลดความขัดแย้ง ถึงขั้นเซ็น เอ็มโอยูให้ยอมรับผลการเลือกตั้ง
พร้อมประกาศชัดเจนว่า คสช.ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งมาเมื่อปี 2557 บริหารประเทศมาเกือบ 3 ปีนี้ เป็นกลาง ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร
พร้อมใช้ม.44 ตั้งคณะกรรมการชื่อยาวเหยียด ที่มีชื่อย่อว่า ป.ย.ป.
ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เสนอรายชื่อทหารชุดใหญ่ให้นั่งเป็นกรรมการอำนวยการเพื่อความสมานฉันท์
ทำให้ต้องกลับไปตั้งคำถามว่าในความเห็นของคสช. และนายกฯแล้วความปรองดองนี่คืออะไรกันแน่
แน่นอนว่าความปรองดองเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการอย่างยิ่ง
แต่เส้นทางที่ได้มาก็ต้องถูกต้องชอบธรรม และได้รับความยินยอมพร้อมใจจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ
หากให้เกิดขึ้นด้วยการบังคับแข็งขืน จะยิ่งเป็นการตอกย้ำวิกฤตให้มากขึ้นไปอีก
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความปรองดอง ก็คือความยุติธรรม
ต่อจากนี้ จึงอยู่ที่ว่ารัฐบาล และคสช. หรือกรรมการชุดไหนก็ตามสามารถสร้างความยุติธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ได้หรือไม่
ความยุติธรรม ที่ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งแสดงออกโดยสันติวิธี โพสต์เฟซบุ๊ก หรือแม้จะยืนเฉยๆ ก็ถูกจับกุมคุมขัง ดำเนินคดี
แต่อีกฝ่ายปิดบ้านปิดเมือง สร้างมิคสัญญี มีความผิดฐานเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่คดีกลับไม่คืบหน้า
ฝ่ายหนึ่งดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนอย่างโครงการรับจำนำข้าว กลับถูกกล่าวหาว่าทุจริต
อีกฝ่ายถูกร้องเรียนทุจริตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันราคาข้าว ก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง แต่คดีก็ไม่มีความเคลื่อนไหว
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ต้องดำเนินการให้กระจ่าง ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่ากันไปตามถูก
ไม่ให้เกิดภาวะบ้านเมือง 2 มาตรฐาน อันเป็นสิ่งที่ตอกย้ำรอยร้าวในประเทศให้เกิดขึ้น
ย้ำกันอีกครั้งว่าทำได้หรือไม่
หากจะปรองดอง ต้องยุติธรรมก่อน