คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
สภาไร้ประโยชน์ – นักวิเคราะห์เกาะติดการเมืองเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
ว่าการเปิดประชุมสมัยวิสามัญของรัฐสภาที่กำลังดำเนินการอยู่นี้น่าจะจบไม่สวย
คือไม่สามารถหาทางออกใดๆ ให้กับประเทศจากปัญหาวิกฤตขณะนี้ได้
เอาเฉพาะเรื่องจัดแบ่งเวลา 2 วัน 23 ชั่วโมงให้ครม. ส.ส.รัฐบาลและส.ว. ซึ่งเป็นพวกเดียวกันได้ไปฝ่ายละ 5 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง ส่วนฝ่ายค้านได้ 8 ชั่วโมงไม่ต้องแบ่งกับใคร แต่ก็น้อยกว่าอีกฝ่ายเกือบเท่าตัว แค่นี้ก็วุ่นแล้ว
แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือญัตติที่รัฐบาลขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 165 ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ 3 ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมแม้แต่ข้อเดียว มีเพียงเรื่องโควิดที่วันนี้สถานการณ์เบาลงแล้ว
และที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากคือการนำเรื่องเกี่ยวกับขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.มาใส่ไว้ด้วย เป็นการให้ร้ายกล่าวหา ผู้ชุมนุมขวางทางและหยุดขบวนเสด็จฯ
ซึ่งการหยิบยกเรื่องนี้มาอภิปรายนอกจากจะไม่มีข้อยุติเป็นทางออกได้แล้ว ยังเพิ่มความขัดแย้งโดยใช่เหตุ
นั่นทำให้มองได้ว่าการที่รัฐบาลยอมเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญและเสนอญัตติเปิดอภิปรายนั้น
ไม่ใช่การถอย แต่เป็นการรุก
ด้วยยุทธวิธีบิดเบือนกล่าวร้าย โยนความผิดให้กลุ่มผู้ชุมนุม
ขณะเดียวกันก็เบี่ยงเบนการอภิปราย ในสภาให้ห่างออกไปจากประเด็นความ ล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล
เรื่องเกี่ยวกับขบวนเสด็จฯ วันที่ 14 ต.ค. ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดของรัฐบาลเท่านั้น
พอจะคาดเดาได้ว่าเมื่อฝ่ายรัฐบาลหยิบยกเรื่องนี้มาพูดก็ต้องโดนประท้วงจากพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าก้าวไกล เพื่อไทย หรือพรรคอื่น
จากนั้นก็จะมีการประท้วงซ้อนประท้วงตอบโต้กันไปมาไม่รู้จบ มารู้ตัวอีกที 2 วันก็หมดลงโดยเปล่าประโยชน์
การประชุมรัฐสภาครั้งที่แล้วนัดสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสามัญ จบลงด้วยการยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้มาชุมนุม และเป็นต้นเหตุนำมาสู่การชุมนุมทะลุเพดานทะลุฟ้ามาถึงทุกวันนี้
ครั้งนี้เป็นการประชุมรัฐสภาเหมือนกันแต่เป็นสมัยวิสามัญ
จะส่งผลต่อปฏิกิริยาผู้ชุมนุมอย่างไร จะยกระดับทะลุจักรวาลหรือไม่
ต้องติดตามห้ามกะพริบตา