คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ม็อบ‘แผ่ว’จริงเหรอ – เป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ที่ระบุว่าม็อบราษฎรเริ่มแผ่ว
โดยหยิบยกจำนวนตัวเลขของผู้ชุมนุมที่ลดลง โดยในกทม.มีผู้ชุมนุมยอดสูงสุด 1.5 หมื่นคน และในต่างจังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ชุมนุมไม่เกิน 2 หมื่นคน
ซึ่งคงเป็นสถานการณ์ที่สร้างความสบายใจให้กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหมได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าในการชุมนุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ในการชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า ‘ม็อบเฟสต์’ ก็มีลักษณะไม่ต่างจากที่สมช.ประเมิน
แต่กลายเป็นคำถามว่า ม็อบของราษฎรนี้ ‘แผ่ว’ ลงจริงหรือไม่!??
และเมื่อม็อบแผ่ว จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะเลิกข้อเรียกร้อง 3 ข้อ แล้วหันไปเชียร์ให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อ และไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนั้นเหรอ
ทุกอย่างที่ขับเคลื่อน สร้างแนวคิดความเท่าเทียมกัน การยุติคุกคามผู้เห็นต่าง หรือการใช้กฎหมายอย่างไม่ถูกต้อง
Advertisement
สิ่งเหล่านี้จะหายวับไปในพริบตา แล้วกลับไปเป็นแบบเดิมๆ อย่างนั้นเหรอ
หากใช้เหตุและผลพิจารณา ก็ควรจะรู้แล้วว่า อาการ ‘แผ่ว’ ที่ประเมินเอาไว้นั้นมีข้อเท็จจริงอยู่มากน้อยเพียงใด
เพราะทุกอย่างกลายเป็นแนวคิด เป็นข้อเรียกร้อง ที่ปลูกฝังในใจของประชาชนไปเรียบร้อย
ทลายเพดานทางความคิดที่ตีกรอบเอาไว้เรียบร้อยหมดสิ้น
เปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับไปแล้วไปเลย
จึงอยู่ที่ว่าทุกภาคส่วนจะปรับตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กับโลกที่หมุนเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไร
ซึ่งตามทฤษฎีวิวัฒนาการ อะไรที่ปรับตัวไม่ได้ ย่อมถูกทอดทิ้ง และล่มสลายในที่สุด
ทั้งนี้ การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สภาจะพิจารณาในวันที่ 17-18 พ.ย. ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะแสดงออกให้เห็นว่า พร้อมจะปรับตัว จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้หรือไม่
หรือจะยังหลงอยู่กับความ ‘แผ่ว’ ของม็อบ ที่เปรียบเสมือนภาพมายา
อยู่ที่ว่าจะเลือกเอาทางไหน
แต่หากไม่เลือกเส้นทางตามเจตจำนงของประชาชน
ประชาชนก็คงจะต้องเลือกให้เอง และเมื่อถึงวันนั้นก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น โดยไม่มีสิทธิโอดครวญ!??