ฮอตไลน์1569‘ค้าภายใน’เต้น
กรมการค้าภายในเผย ยอดร้องเรียนสินค้าแพง 2 เดือนพุ่งเกือบ 700 ราย ชี้หมวดอาหารและเครื่องดื่มมากสุด สั่งลงพื้นที่ตรวจสอบหากมีมูลเอาผิดทุกกรณี เอกชนชี้สงกรานต์เหงาแน่ หลังลูกค้าแห่ยกเลิกจองล่วงหน้าทั้งเดือนเม.ย.นี้กว่า 80% สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจเรื่อง ‘ความหนักใจของคนไทย’ อันดับ 1 คือ ของแพง น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง ร้อยละ 89.73
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงสถิติร้องเรียนราคาสินค้าและบริการ ผ่านสายด่วน 1569 ของกรมว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-11 มี.ค.2565 พบว่ามีการร้องเรียนจำนวน 697 เรื่อง แบ่งเป็น ไม่ปิดป้ายแสดงราคา 349 ราย ลดลง 3.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือ ราคาแพง 123 ราย ลดลง 67.55% แสดงราคา ไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย 64 ราย ลดลง 11.11% ปรับราคาสูงขึ้น 59 ราย ลดลง 56.93% เครื่องชั่ง/มาตรวัดไม่ได้มาตรฐาน 38 ราย เพิ่มขึ้น 8.57% และไม่ได้รับความเป็นธรรม 64 ราย ลดลง 80.95%
“หมวดที่ประชาชนโทร.เข้ามาร้องเรียนมากที่สุดคือ สินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม รองลงมาคือหมวดของใช้ประจำบ้าน หมวดของใช้ส่วนบุคคล หมวดบริการ หมวดการเกษตร และหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ โดยกรมได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบคำร้อง และข้อเท็จจริงหากพบว่าทำผิดจริงก็สั่งจับกุมดำเนินคดีทุกราย” ร.ต.จักรากล่าว
ส่วนสถิติร้องเรียนราคาสินค้าและบริการ ปี 2564 พบว่ามีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,200 เรื่อง แบ่งออกเป็นไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก 1,879 เรื่อง จำหน่ายราคาแพง 921 เรื่อง แสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย 229 ราย ปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้น 396 ราย ปฏิเสธการจำหน่ายโดยไม่มีเหตุผล 3 ราย กักตุนสินค้า 4 ราย ขายเกินราคากำหนด 26 ราย ใช้เครื่องชั่ง/มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้มาตรฐาน 169 ราย สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ 14 ราย ไม่ได้รับความเป็นธรรม 619 ราย
ร.ต.จักรากล่าวถึงแนวโน้มการปรับราคาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้นจากภาวะสงครามรัสเซียยูเครนว่า ในส่วนของปุ๋ยเคมีนั้น คาดว่าจะให้มีการปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะเริ่มทยอยยื่นเรื่องขอปรับขึ้นราคามาในช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งจะต้องเชิญผู้ประกอบการแต่ละรายมาหารือเพื่อชี้แจงรายละเอียดต้นทุนต่อไป ส่วนอาหารกระป๋องก็เริ่มทยอยยื่นขอปรับราคามาบ้างแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งขณะนี้กรมการค้าภายในยังไม่ได้อนุมัติให้สินค้าจำเป็น 18 รายการปรับขึ้นราคา
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจเรื่อง “ความหนักใจของคนไทย ณ วันนี้” พบว่า กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,047 คน สำรวจระหว่างวันที่ 22-24 มี.ค. พบว่า เรื่องที่ประชาชนหนักใจมากที่สุด อันดับ 1 คือ ของแพง น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง ร้อยละ 89.73 โดยรู้สึกค่อนข้างหนักใจกับปัญหาต่างๆ ร้อยละ 56.73 และหนักใจมาก ร้อยละ 38.78 สาเหตุที่ทำให้หนักใจคือ ทุกอย่างขึ้นราคา ร้อยละ 80.97 รองลงมาคือ การแก้ปัญหาของรัฐบาล ร้อยละ 57.10
Advertisement
โดยประชาชนรับมือกับปัญหาด้วยการตั้งสติ อดทน ให้กำลังใจตัวเอง ร้อยละ 76.14 โดยอยากให้รัฐบาลรับฟังความคิดเห็น ช่วยเหลือประชาชนให้มากขึ้น ร้อยละ 75.77 ในภาพรวมรายได้ของประชาชน ณ วันนี้ไม่พอใช้และมีหนี้สิน ร้อยละ 41.26
น.ส.พรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า ประชาชน ณ วันนี้มีเงินไม่พอใช้และมีหนี้สิน หรือถึงมีพอใช้ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยาวก็ยิ่งทำให้ลำบากมากขึ้น นอกจากจะหนักใจเรื่องของแพงแล้วยังหนักใจเรื่องการบริหารงานของรัฐบาลอีกด้วย ส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาของ รัฐบาลถึงจะมาถูกทางแต่ก็ยังไม่ถูกใจประชาชน รัฐบาลซึ่งเป็นความหวังของประชาชนจึงควรรับฟังและแก้ปัญหาให้เร็วยิ่งขึ้น
ด้าน ผช.ดร.อนงค์นาถ ทนันชัย ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรการจัดการบัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก และต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง รวดเร็ว ในฐานะที่ตนเป็นทั้งอาจารย์ ผู้ประกอบการและประชาชนเห็นว่ารัฐบาลควรแก้ปัญหาให้ตรงจุด โดยเชิญผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่เข้าใจอย่างถ่องแท้เข้ามาช่วย ฟังเสียงประชาชนอย่างจริงใจ เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นจริง ทางรัฐบาลนั้นเชื่อว่าขณะนี้ค่อนข้างทำงานหนักเพราะเจอสถานการณ์วิกฤตต่างๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าความวัวไม่ทันหาย ความวุ่นวายอย่างอื่นก็เข้ามาแทรกตลอดเวลา ข้อสังเกตจากผลโพลอีกประการหนึ่งในเรื่องวิธีรับมือปัญหาหนักใจคือ การตั้งสติ ยอมรับ ปลง นั้น อาจารย์เห็นว่าไม่ควรท้อ อย่ามองว่าเป็นปัญหา ยิ่งเป็นผู้ประกอบการต้องไม่กลัว กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาแล้วหาทางออกอย่างมีสติ ไม่ว่าจะฐานะใด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นดีที่สุด เพราะจะมองเห็นปัญหาก่อนเพื่อการแก้ไขที่รวดเร็วและตรงจุด
ส่วนนายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะนี้ต้องยอมรับว่าภาพไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอนยังคงอยู่ รวมถึงเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันรวมการตรวจเอทีเคแล้ว อยู่ประมาณ 4 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง และสร้างความกังวลใจมาก ทำให้แนวโน้มช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเม.ย.2565 ไม่ได้ดีเหมือนที่คาดไว้ โดยภาพในปีนี้จะเป็นเหมือนปี 2564 อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้เราเห็นการยกเลิกการจองล่วงหน้าแล้วกว่า 80% และเป็นการยกเลิกทั้งเดือนเม.ย. เพราะไม่มั่นใจการระบาดโควิด-19 และอยากขอรอดูความชัดเจนของเงื่อนไขต่างๆ ก่อน
ตอนนี้สงกรานต์ไม่ต้องพูดถึงแล้ว รู้ชะตากรรมแล้วว่าคงไม่ได้คึกคักมากเท่าใดนัก เพราะยังมีโอมิครอนอยู่ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง จึงมีการตัดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นออก ทำให้การเดินทางน้อยลงมาก คนส่วนใหญ่ระมัดระวังตัว เพราะพูดจริงๆ โควิด-19 คนยังกลัวน้อยกว่าปัญหาเศรษฐกิจ ที่หากคนไม่มีเงินก็ไปเที่ยวไม่ได้ เมื่อพ้นเดือนเม.ย.นี้ จะเป็นหน้าฝน ซึ่งปกติถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว การท่องเที่ยวในประเทศก็จะหายไปอีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส หรือ 3 เดือน ที่การเดินทางทรงตัวต่ำๆ แบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเดิมเราเห็นในช่วงเดือนมี.ค. เริ่มมีการจองเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ แต่เมื่อยอดติดเชื้อพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นการยกเลิกการจองจนหมด ลากยาวไปถึงเดือนเม.ย.นี้ ทั้งเดือนด้วย ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศ ยังคาดหวังว่าจะเห็นความคึกคักได้อีกครั้งในช่วงปลายปี 2565 รอบปลายฝนต้นหนาว หรือไตรมาสสุดท้ายของปีเลย
นายภูริวัจน์กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดต่างประเทศยังไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะกลับมาดีขึ้น และคาดหวังได้มากน้อยเท่าใด เพราะคนไทยก็ยังกลัวอยู่ รวมถึงหลายประเทศก็เปิดประเทศท่องเที่ยวมากขึ้น มีตัวเลือกสูง รวมถึงเงื่อนไขการเข้าประเทศก็น้อย ทำให้แม้มีความต้องการ (ดีมานด์) ในการมาเที่ยวไทย แต่หากเงื่อนไขยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก ประเมินว่าตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจต้องรอฟื้นตัวอีกทีในปี 2566 ทีเดียว
ตอนนี้อยากให้รัฐบาลเตรียมมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ทำอย่างต่อเนื่อง และทำมากที่สุด เพราะการคาดหวังนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังทำได้ค่อนข้างน้อย โดยรูปแบบมาตรการหรือโครงการกระตุ้น อยากให้ออกมาในรูปแบบการส่งเสริมเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว เหมือนโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่อยากให้เงื่อนไขต่างๆ ในการใช้บริการทั้งส่วนของประชาชนและผู้ประกอบการเอื้ออำนวยมากกว่านี้ เพราะทัวร์เที่ยวไทยถือว่าช่วยต่อลมหายใจ ผู้ประกอบการได้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากขั้นตอนและเงื่อนไขค่อนข้างยุ่งยากเกินไป