นายกฯนำรมต.นั่งรฟ.พัฒนาพื้นที่ตะวันออก ไฮสปีดเทรน3สนามบิน ย้ำ10พย.เปิดแถลงใหญ่ สรุปชัดๆดิจิทัลวอลเล็ต

นายกฯนำทัพรมต.นั่งรถไฟลุยชลบุรี-ระยอง เร่งเดินหน้าไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ลุยท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 แก้ปัญหาน้ำ นำผู้บริหาร 2 บริษัทใหญ่จับมือโชว์สื่อ เลิกขัดแย้งจัดการน้ำภาครัฐกับ เอกชน ตั้ง‘สุริยะ’นั่งประธานอนุกรรมการทะลวงทุกอุปสรรค ลั่นไม่เกิน 3 เดือน ต้องประกาศขับเคลื่อนอีอีซีเต็มรูปแบบได้ ย้ำ 10 พ.ย.แถลงสรุปเงินดิจิทัล แย้มใช้ แอพเป๋าตังร่วมด้วย ‘วิโรจน์’ กระทุ้ง ‘ปูอัด’ รับผิดคุกคามทางเพศ ด้าน ‘เรืองไกร’ จ่อยื่น กกต.สอบคุณสมบัติรมต. 1 คน ถือหุ้นเกิน 5% หรือไม่

‘นิด’นั่งรถไฟลุยชลบุรี-ระยอง
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงพื้นที่ ตรวจราชการจ.ชลบุรี และระยอง พร้อมคณะ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นายศุภนิจ จัยวัฒน์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นายสนธยา คุณปลื้ม ประธาน ที่ปรึกษาเมืองพัทยา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง

โดยเดินทางด้วยรถไฟขบวนพิเศษ 995 ออกจากชานชาลาที่ 5 ออกจากสถานีหัวลำโพง เวลา 08.30 น.ไปลงที่สถานีรถไฟ แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ระหว่างนั่งรถไฟ นายเศรษฐารับฟังบรรยายสรุป ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างอีอีซี เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขีดความสามารถในการรองรับสินค้าของท่าเรือแหลมฉบัง

นายเศรษฐากล่าวว่า ปัจจุบันมีความแออัดของการขนส่งสินค้า อยากให้แผนการพัฒนามีความคืบหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะล่าช้า และขอให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจัดแถลงความคืบหน้า “ผมคิดว่า อีอีซีเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เราต้องเร่งรัดให้เกิดการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบน้ำ มาตรการทางภาษี และอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน”

ถกบนรฟ. – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ประชุมทีม รมต.และผู้เกี่ยวข้องบนตู้ขบวนรถไฟ ระหว่างเดินทางไป จ.ชลบุรีและระยอง เพื่อติดตามการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและเขตเศรษฐกิจพิเศษ อีอีซี เมื่อวันที่ 4 พ.ย.

ลุยสางปัญหา-ดูดลงทุนอีอีซี
นายเศรษฐากล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนลงพื้นที่ พบว่ามีแนวทางแก้ไขปัญหาได้มาก เรื่องอีซีซีเป็นขุมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องน้ำไฟฟ้า ราง ถนน สนามบิน ท่าเรือ พลังงาน และเรื่องภาษีและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เมื่อเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องดูว่าจะพิเศษจริงหรือไม่ และติดขัดปัญหาตรงไหนต้องแก้ไข ต้องดูว่าจะทำให้เป็นรูปธรรมอย่างไร มั่นใจว่าประเทศ มีอะไรดีเยอะมาก จึงควรเพิ่มความสนใจในการมาลงทุน ทั้งโรงเรียน ระบบการดูแล สุขภาพ และดูว่าสิ่งที่เราโฆษณาชักชวนไว้ให้มาลงทุนสามารถทำได้จริงหรือไม่ และต้องชี้แจงว่าติดปัญหาตรงไหน รวมถึง ต้องให้ประชาชนรับทราบว่าอีอีซี คืออะไร มีศักยภาพมากแค่ไหน ถ้าทำโครงการนี้สำเร็จได้จะยกระดับทรัพย์สินของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นได้มโหฬาร

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีวิธีการประกาศ เชิญชวนให้นักลงทุนรับทราบถึงศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า มีแน่นอน ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและสามารถทำได้จริงไม่ใช่วาทกรรมสวยหรู หากมีการตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมาดูแลจะดีมาก โดยต้องพิจารณาว่าต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ เพื่อช่วยไปทลายกำแพงอุปสรรคต่างๆ








Advertisement

เมื่อถามว่า บางครั้งระบบการทำงานของราชการอาจไม่ทันใจกับนักธุรกิจที่จะมา ลงทุน นายเศรษฐากล่าวว่า ทราบอยู่แล้วว่าระบบราชการเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าข้าราชการมีความตั้งใจจริง หน้าที่เราต้องให้ความสำคัญ ต้องให้เกียรติและพูดคุยว่าปัญหาของเราคืออะไร โดยสะท้อนมาจากทบวง กรม และผู้นำต้องเป็นตัวเชื่อม นำปัญหาของแต่ละหน่วยงานของรัฐมาพูดคุย และพยายามแก้ไขให้มากที่สุด อย่ามองว่าเป็นอุปสรรค เพราะความหวังจะลดน้อยลงไป แต่มองเป็นโอกาสมากกว่า และจากการ พูดคุยร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการมีความหวังที่นายกฯ ลงมาดูแลปัญหาตรงนี้อย่าง บูรณาการ

ตรวจท่าเรือ – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำคณะรมต.ตรวจเยี่ยมท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และติดตามศักยภาพของเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีที่จะเป็นพื้นที่พัฒนาประเทศและดึงดูดนักลงทุนครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.

เร่งพัฒนา-เดินหน้า 2 ท่าเรือ
เวลา 11.30 น.ที่หอบังคับการท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายเศรษฐา รับฟังบรรยายสรุป และพูดคุยประเด็นศักยภาพของพื้นที่สำหรับการรองรับสินค้าอุตสาหกรรมหนักในการนำเข้าและส่งออก ของท่าเรือแหลมฉบัง และรับทราบถึง การที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะเร่งดำเนินการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ให้สามารถรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ยกระดับสู่สมาร์ต พอร์ต รองรับกรุงเทพฯ ในการที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของไทย พร้อมรับชมพื้นที่ภาพรวมการดำเนินงานของท่าเรือแหลมฉบัง จากหอบังคับการพัฒนาแหลมฉบัง

นายเศรษฐากล่าวว่า ให้กระทรวงคมนาคม และเจ้าหน้าที่รัฐ เร่งรัดการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการก่อสร้าง ตามระยะเวลา และเป้าหมาย ของโครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งนายกรัฐมนตรี รับทราบถึงการที่ กทท. จะเร่งดำเนินการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้สามารถรองรับ เรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ยกระดับสู่ Smart Port รองรับกรุงเทพฯ ในการที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของไทย

ขีดเส้น 60 วัน-มาตรวจเรื่องน้ำ
เวลา 13.40 น. นายเศรษฐาไปตรวจเยี่ยม อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ติดตามระบบการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำให้รองรับอีอีซี โดยรับฟังบรรยายสรุปจากเลขาธิการสทนช. ถึงแผนพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่อีอีซี ระหว่างปี 2563-2580 จำนวน 38 โครงการ วงเงินกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท ทำแล้ว 19 โครงการ ระหว่างดำเนินการ 7 โครงการ ส่วนโครงการที่เหลือจะเร่งดำเนินการ

นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องน้ำที่เชื่อมต่อจากท่อส่งจ่าย ทั้งหลาย เชื่อว่าศึกษามาดีแล้ว รัฐบาลที่เข้ามาบริหารจัดการในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเรื่องที่เราให้ความสำคัญเรื่องหนึ่งคือการเชิญนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน ไม่ใช่แค่น้ำ รวมถึงพลังงานสะอาด และอีก หลายปัจจัย ที่จะเชิญนักลงทุน เรายอมรับไม่ได้ที่จะปล่อยให้มีเรื่องไม่ดีที่เกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำเกิดขึ้น ซึ่งจ.ชลบุรีและระยอง เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ความต้องการน้ำจะมีสูงกว่าในเขตพื้นที่อื่น ปัญหาความขัดแย้งของประชาชนที่เกิดขึ้นในการแย่งน้ำทำการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมถือเป็นเรื่องสำคัญ ตรงนี้รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก ถ้าตรงไหน มีปัญหาเกิดขึ้นขอให้แจ้งมาได้เลย

ฝ่ายปกครอง สทนช. กรมชลประทาน กระทรวงอุตสาหกรรม บีโอไอ ต้องเร่งขับเคลื่อน การมีแผนงานเป็นเรื่องดีและ ไม่อยากให้ล่าช้า ถ้ามีปัญาหตรงไหนรัฐบาลพร้อมบริหารจัดการ ถ้าไม่ทำตรงนี้จะไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน จะไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ รัฐบาล เอกชน รัฐวิสาหกิจ ต้องให้ความสำคัญ และอีก 60 วัน จะกลับมาดูเรื่องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ยืนยันรัฐบาลนี้จะทำงานอย่างรวดเร็ว สนองตอบความต้องการของประชาชน จะทำงานอย่างรวดเร็วฉับพลัน และตอบโจทย์ กับพี่น้องประชาชน นักลงทุนต่างชาติ มากที่สุด

นำ 2 บริษัทยักษ์จับมือโชว์สื่อ
จากนั้น นายเศรษฐารับฟังระบบท่อ ส่งน้ำในภาคตะวันออกของพื้นที่จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และเยี่ยมชมสถานีสูบน้ำหนองปลาไหล โดยนายกฯ ได้นำตัวแทนจากบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด และบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำ ภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ มายืนจับมือเพื่อยืนยันความร่วมมือ ในการทำงานร่วมกัน ให้สื่อได้บันทึกภาพ และกล่าวว่า ปัญหาที่มีในอดีตมีการตกลงกันเรียบร้อยทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม มั่นใจได้ว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้น แหล่งน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ในอดีตรัฐบาล มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ที่จะเพียงพอต่อภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการ ใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเดินทางไปเจรจา กับต่างประเทศในเรื่องไฟฟ้าและความเพียงพอในการมีน้ำใช้ของภาคอุตสาหกรรม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีปัญหาในการปั๊มน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ และเรื่องการจัดส่งน้ำที่ภาคเอกชนอาจจะมีความเข้าใจผิดกัน เกิดขึ้น แต่ได้แก้ไขปัญหาให้เรียบร้อยแล้ว วันนี้จึงเป็นสักขีพยานว่า ได้ข้อยุติในความร่วมมือทั้งสองฝ่ายและจบลงแล้วโดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะทำงานร่วมมือกันที่จะก้าวข้ามปัญหาในการขัดแย้งเรื่องน้ำ นี่เป็นภาพประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐบาลและภาคเอกชน เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุน และปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีกอนาคต

“ขอขอบคุณทุกท่านที่เห็นประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นหลัก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ลืมไปทุกคนมาร่วมกันช่วยพัฒนาประเทศ ไปข้างหน้า ผมขอขอบคุณในนามรัฐบาลไทย ไว้ด้วย” นายเศรษฐากล่าว

ยืนยันหนุนรถยนต์ไฟฟ้า
เวลา 14.50 น. ที่ศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง นายเศรษฐา เยี่ยมชม ศูนย์ และพบปะตัวแทนเกษตรก รและประชาชน รับฟังปัญหาและข้อเสนอ ถึงการขนส่งและส่งออกทุเรียน การทำถนน ซึ่งนายกฯ ยืนยัน รัฐบาลพร้อมส่งเสริมศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตาม พระราชดำริ ที่มีองค์ความรู้มาถ่ายทอด ให้กับประชาชนทุกคน พร้อมขยายผล ในการปฏิบัติงานพื้นที่ต่างๆ

เวลา 15.40 น. ที่นิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE2) ต.เขาคันทรง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี นายเศรษฐาเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมรับฟังข้อเสนอ 6 ข้อจาก น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1.กำหนดสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินในผังเมืองร่วมชุมชนใน อีอีซี ให้จัดสรรที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมได้ 2.ปรับปรุงขั้นตอนและระยะเวลาในการ จัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)

3.ปรับลดระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงสภาพทางสาธารณประโยชน์ตามพ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ให้มีความกระชับมากขึ้น 4.การจัดสรรน้ำดิบให้เพียงพอต่อการใช้น้ำ ของภาคอุตสาหกรรม 5.การเพิ่มแนวทางให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมสามารถจัดหาพลังงานหมุนเวียนร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้แก่ผู้ประกอบการได้มากขึ้น และ 6.การจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่อีอีซี

นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนรถยนต์อีวี ทั้งบีโอไอและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปช่วยกันดำเนินงานช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จนประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตรถยนต์อีวีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเชียงใต้ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ตนในฐานะคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า แห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้เร่งมาตรการระยะที่ 2-5 ออกไป น่าจะเป็นที่พอใจนักลงทุนต่างประเทศ

3 เดือนประกาศรุกอีอีซีเต็มสูบ
ตนมีข้อเสนอแนะ อาทิ เร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดภาวะคาร์บอน การพัฒนา ห่วงโซ่การผลิตที่จะต้องมีการตั้งโรงงานเพื่อทำให้เกิดสินค้าและการบริการ เรื่องแบตเตอรี่ที่จะต้องมีการรียูส รีไซเคิล และการทำลายที่ไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม และจะให้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ มาร่วมพัฒนาแก้ไขและเซ็นสัญญาเอฟทีเอกับต่างประเทศ

ที่ผ่านมาเราได้ต่อยอดจากรัฐบาลที่แล้วซึ่งต้องให้เครดิต ที่เริ่มพัฒนาในแง่ของการให้รถอีวีถ้ามาเปิดโรงงานในประเทศไทย และหลังตนเข้ามาได้ไปพูดคุยกับต่างประเทศ เพื่อให้เข้าใจว่าประเทศไทยเปิดแล้วและพร้อมต้อนรับนักลงทุนจากต่างประเทศ ไม่มีเวลาไหนที่ดีเท่ากับตอนนี้ที่ให้ นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย สำหรับข้อเสนอทั้ง 6 ข้อ เราตระหนักดีและจะพยายามช่วยเหลือ ให้เร็วกว่า 5 ปี

“ส่วนเรื่องที่มีคนมาด้อยค่าประเทศไทยว่า น้ำแล้งไม่สามารถทำอุตสาหกรรมได้ ถ้ามีใครมาพูดก็ขอให้ตอบโต้กลับไป เพราะจะมีต่างชาติมาแย่งนักธุรกิจไปลงทุน ขอยืนยันว่า เรามีน้ำเพียงพออุตสาหกรรมในประเทศ อีกไม่เกิน 3 เดือน เราจะสามารถ ประกาศได้อย่างเต็มที่ว่าได้มีการขับเคลื่อนอีอีซีอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะยกระดับภาคอุตสาหกรรมและชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน คนไทยทุกคนต่อไป” นายเศรษฐากล่าว

จากนั้น นายเศรษฐา นายธนากร เสรีบุรี รองประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ซีพี จำกัด และ น.ส.จรีพร ได้ร่วมลงนามบนรถยนต์อีวี ยี่ห้อ เอ็มจี รุ่น เอ็นจี 4 และบนแบตเตอรี่รถยนต์อีวี เพื่อเป็นที่ระลึก ซึ่งทั้งสองเป็นผลิตภัณฑ์ของยี่ห้อเอ็มจี รุ่นแรก ที่ประกอบในประเทศไทย

ตั้ง‘สุริยะ’ปธ.ทะลวงอุปสรรค
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ ตรวจราชการ จ.ชลบุรีและระยองว่า สำหรับ ปัญหารถไฟที่เชื่อม 3 สนามบิน เวลานี้ ที่มีการดีเลย์เกิดขึ้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม รับไปเจรจากับฝ่ายเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ ส่วนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ปัจจุบันปริมาณสินค้าที่เข้าออกในประเทศไทย เราเป็นท่าเรือที่ใหญ่ในลำดับที่ 19 ของโลก แต่ปริมาณสินค้าที่จะมีการเข้าและออกมีความต้องการสูงมาก ฉะนั้นความจำเป็น ที่ต้องสร้างเฟส 3 ขึ้นมามีเยอะ ซึ่งได้ดำเนินงานไปแล้ว จะสามารถทำให้เรา ยกระดับเป็นท่าเรือใหญ่ 1 ใน 15 ของโลกได้ แต่เมื่อมาดูพบว่ามีความล่าช้าเกิดขึ้น ทางผู้ว่าฯ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ยอมรับว่ามีความล่าช้า ตนจึงได้สั่งการเรื่องนี้ ซึ่งผู้ว่าฯ การท่าเรือฯ ยอมรับว่า มีการดีเลย์จริง แต่จะมีการก่อสร้างให้ทันเวลาได้ภายในกลางปีหน้า ซึ่งอีก 2 เดือน จะมาดูความคืบหน้าอีกทีหนึ่ง

สำหรับปัญหาในอีอีซีจะเห็นว่ามีข้อปลีกย่อยเยอะ คณะที่มาเห็นร่วมกันว่าเรามีคณะทำงานของอีอีซีอยู่แล้ว แต่อันนี้ จะเป็นคณะทำงานย่อย ซึ่งตนมอบหมายให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เป็นประธาน ใช้ชื่อว่าคณะกรรมการ ease of doing business in EEC ให้ง่ายขึ้น ทะลุทะลวงปัญหา เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ กระทรวง ทบวงกรม ต่างๆ เพื่อให้คณะเล็ก มีไม่ถึง 10 คนสามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาไปได้อย่างรวดเร็ว

“จากการรับฟังผู้บริหาร ภาคเอกชน ในวันนี้ พบว่าทุกคนไม่มีความเป็นห่วง ถ้าเราสามารถทะลุทะลวงปัญหาต่างๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมา ประเทศไทยจะเป็นแหล่งลงทุนแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในการผลิตรถไฟฟ้า และอีกหลายๆ ธุรกิจซึ่งจะล้อกับการที่ผมเดินทางไปเอเปค ที่สหรัฐ กลางพ.ย.นี้จะมีการพูดคุย ความร่วมมือระหว่างหลายประเทศและ จะพบปะเอกชนของสหรัฐกว่า 30 ราย ซึ่งจะมีภาคเอกชนไทยเดินทางไปด้วย ตรงนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดี และการที่ เดินทางมาวันนี้ทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาและมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะไป พูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติได้อย่างเต็มปาก หวังว่าภายในเวลาไม่กี่เดือนนี้เราจะสามารถ ทำอะไรได้เยอะมาก” นายศรษฐากล่าว

10 พ.ย.แถลงใหญ่เงินดิจิทัล
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า วันที่ 10 พ.ย. จะรู้เรื่องทุกอย่าง รู้ที่มาที่ไป ตามที่เรียนแล้ว ไม่ได้ไปว่าใครที่ไปพูดอะไร ทั้งสิ้น แต่การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นวันที่ 10 พ.ย.นี้จะรู้ที่มาที่ไปทุกอย่าง มีขั้นตอนไทม์ไลน์กฎกติกาที่ชัดเจน และต้องให้เกียรติคณะกรรมการ ตนอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่อย่างนั้น จะเกิดความสับสน เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต เป็นเรื่องสำคัญ แม้จะมีความเห็นต่างบ้าง แต่ยอมรับว่าจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนลักษณะขอบเขต หรือปริมาณการ กระตุ้นเศรษฐกิจจะเท่าไรต้องมาพูดคุยกัน ยืนยันว่าหากใครมีข้อเสนอแนะก็รับฟังตลอด และการรับฟังไม่ใช่การรับฟังเฉยๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่านโยบายนี้ดูเหมือน จะเป็นการเดิมพันฝีมือก้าวต่อไปของรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าให้ประชาชนเป็นคนตัดสินจะดีกว่า ทุกนโยบายสำคัญ กรณีที่สื่อมติชน เดลินิวส์ ได้ทำโพลสำรวจ เห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเป็นสิ่งสำคัญ ดิจิทัลวอลเล็ตก็เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ยังมีเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งตนได้ประชุมไปแล้ว เรื่องหนี้ครัวเรือน โดยเรียกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาหารือ รวมถึง 30 บาทรักษาทุกโรค มีหลายเรื่องสำคัญ ทุกเรื่องเป็นเดิมพันหมด แม้แต่เรื่องการบริหารจัดการน้ำก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกษตรกร 30-40 ล้านคน รอเรื่องนี้อยู่ ภาคอุตสาหกรรมและเรื่อง อีอีซีก็เป็นเดิมพัน ไม่มีเรื่องอะไรที่ตน จะด้อยค่า ต้องทำเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง

วันนี้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ทำงานหนัก แต่เวลามีไมค์มาจ่อปากก็ต้องตอบ แต่เป็นเรื่องที่เราอยู่ระหว่างการทำงาน ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง พูดวันนี้อย่างแต่อาจจะมีการเปลี่ยน แต่มาหาว่าท่านพูดกลับไปกลับมานั้นไม่ใช่ เพราะอยู่ระหว่างการคุย เวลาไปคุยกับธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ มีข้อเสนอกลับมา ก็กลับมาบอก เมื่อสื่อเอาไมค์จ่อปากเขาก็พูดว่ารับฟังแบงก์ชาติรับฟังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) สศช.) ก็มาบอกว่าพูดจาไม่รู้เรื่อง

เมื่อมีคำเตือนมาตนก็รับฟัง สื่ออาวุโสหลายท่านก็เตือนมา ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบอกไม่ได้ติดอะไร แต่ให้ระวังในเรื่องนี้ ให้เขียนภาพระยะยาว เวลาที่ออกมาแล้วจะกระทบกับเศรษฐกิจในเชิงบวกอย่างไร รวมถึงการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้นเวลาที่จะแถลงต้องแถลงให้ครบทั้งหมด เมื่อเวลามีคำถามอะไรตนจะได้ตอบได้ แต่เห็นใจนายจุลพันธ์ ทำงานหนักมาก ในฐานะที่ดูแลเรื่องนี้และไปคุยกับทุกภาคส่วน ขณะเดียวกันยังมีคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย เยอะแยะเต็มไปหมด รวมถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย ที่เราได้หาเสียงและพูดอะไรไป ต้องไปปรึกษาเมื่อมีข้อคิดเห็นมาเราก็ต้องฟัง

แย้มใช้แอพเป๋าตังร่วม
ต่อข้อถามว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ต้องระวังจะถอยหลังก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าพูดอย่างนั้นหมายความว่า ตนมีความคิดที่จะถอยหลัง ตนไม่ได้คิด จะถอยหลัง และต้องทำออกไปให้ดีที่สุด ถูกต้องตามกฎหมายที่สุด ให้คนได้รับ ผลประโยชน์สูงสุด สาธารณชนต้องเข้าใจด้วยว่าระบบนี้วิธีการนี้ ไม่มีการคอร์รัปชั่น ในเชิงปฏิบัติไม่มีที่ให้ประชาชนต้องสงสัยว่า ใครได้อะไร เป็นเรื่องที่ธรรมดา เรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ ตนก็ไม่สบายใจ แต่ไม่ต้องห่วง

“ส่วนแอพพลิเคชั่นเป๋าตังมีส่วนร่วมแน่นอน เพราะเป็นเรื่องการให้ความสะดวก และง่ายให้กับประชาชนใช้นโยบายนี้ได้อย่างสบายใจ ส่วนการกำหนดพื้นที่การใช้ หรือการระบุให้ถอนใช้เป็นเงินสด แล้วไปใช้ ที่จังหวัดอื่น ผมบอกว่าไม่ได้ อย่างที่ จ.เชียงใหม่ หรือกทม. เมืองเหล่านี้เขียว อยู่แล้ว จึงอยากให้ไปใช้ในเมืองที่มีจีดีพีรายได้ต่อหัวต่ำ อยากให้หญ้าพื้นที่ตรงนั้นเขียว จะทำให้ชุมชนและเศรษฐกิจพื้นที่เหล่านั้นเฟื่องฟูลืมตาอ้าปากได้ ส่วนที่มีการบอกว่าให้ไปซื้อของออนไลน์ได้ ผมตอบไม่ได้หมดตรงนี้”

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเรื่องใหญ่พวกนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้มีความรู้ต่างๆ มากมาย ที่ให้คำแนะนำ รัฐบาลต้องรับฟังทุกส่วนและเป็นคนตัดสินว่าตรงไหนมีความเหมาะสมมากที่สุด ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไม่ทำ ไม่รับฟังหรือดื้อที่จะทำ เรื่องนี้ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่คณิตศาสตร์ เพราะคณิตศาสตร์ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ส่วนเศรษฐศาสตร์มีมุมมองของแต่ละคน

เมื่อคุยกับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติก็คุยแบบผู้ใหญ่ คุยกันด้วยดีมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เห็นตรงกันทุกเรื่อง แต่สำคัญที่สุดต้องเดินไปข้างหน้าด้วยกัน วันนี้ประชาชนเดือดร้อนกันมากแล้วอย่างที่บอกไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าจีดีพีเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.8% ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น นอกจากนั้นเรื่องความยุติธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ต้องไม่ให้ สังคมมีข้อกังขา หลายเรื่องต้องพยายามทำไป วันเสาร์อาทิตย์ รัฐมนตรีหลายคนทำงาน ไม่มีที่จะไม่เห็นความสำคัญเรื่องเหล่านี้

‘อ้วน’มั่นใจ 3 เสาหลักพท.ปึ้ก
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงคณะกรรม การบริหารพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า กรรมการบริหารชุดนี้ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน บางส่วนมีประสบการณ์อยู่กับพรรคมาตั้งแต่สมัยไทยรักไทย บางส่วนเป็นคนใหม่ที่มีมุมมอง จากข้างนอกเข้ามา และมีคนที่มีประสบการณ์ อย่างนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคอยู่ด้วย ทำให้เป็นทีมที่มีความแข็งแกร่ง ยิ่งได้หัวหน้าพรรค คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่รู้จักพรรคไทยรักไทยอย่างดีที่สุด สัมผัสประชาชนเข้าใจการเมือง มาตั้งแต่สิบกว่าขวบ เคยผ่านวิกฤตทาง การเมือง รับรู้ฝึกฝนความอดทนอดกลั้น ถือเป็นคุณสมบัติที่เหมาะกับการเป็นผู้นำ เชื่อว่าคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ รุ่นกลาง ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ที่ทำงาน ภายใต้จุดยืนตายังคงดูดาว เท้ายังคงติดดิน พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน จะนำพาพรรคไปสู่มิติใหม่ไปสู่จุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม

“ตอนนี้พรรคเพื่อไทยมี 3 เสาหลัก คือรัฐบาลที่คอยทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชน พรรคที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รับฟังปัญหาและชี้แจงการทำงาน และฝ่ายสภาที่เป็นกองหน้าในการปกป้องผลประโยชน์ให้ประชาชน กฎหมายอะไร ล้าหลังเราก็จะแก้ อะไรเหลื่อมล้ำเราก็จะปรับ จะเป็นมิติใหม่ของพรรคเพื่อไทยที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน และต้นเดือนธ.ค.นี้ พรรคจะมีการสัมมนาเกิดขึ้น ทั้ง 3 ส่วน จะได้หารือกันอย่างเป็นทางการเพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการทำงานให้สอดคล้อง กับความต้องการประชาชนมากยิ่งขึ้น” นายภูมิธรรมกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำงานระหว่าง ฝ่ายบริหารกับพรรคเป็นอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราทำงานกันอย่างใกล้ชิด กระทรวงที่เราบริหารมีการจัด ทีมงานไปรับฟังเสียง สส.ที่ฟังปัญหา มาจากประชาชนว่า นโยบายที่ออกไปตรงกับความต้องการหรือไม่อย่างไร สส.ทำงาน ในพื้นที่สะท้อนความต้องการขึ้นมา และนายกฯ กำชับรัฐมนตรีให้ร่วมประชุมพรรค โดยตลอด ไม่ให้ห่างจากพรรคเพื่อไทย เชื่อมการทำงานเป็นปึกแผ่น

‘ธนกร’หนุนเปิดผับถึงตี 4
นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการเตรียมออกมาตรการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. นำร่องใน 4 จังหวัดว่า เป็นเรื่องที่สนับสนุน มานาน เนื่องจากมองว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าขาย การบริการ ร้านอาหารและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้คึกคักในช่วงปลายปี โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวอย่าง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ทำให้ผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหารและสถานบันเทิง ตามจุดท่องเที่ยวสำคัญมีรายได้เพิ่มขึ้น เพิ่มการจ้างงานและการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นขึ้นอีกเท่าตัว รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วง ไฮซีซั่นนี้ เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีความกังวลเรื่องมาตรการด้านความมั่นคงที่สังคมห่วงเยาวชนและยาเสพติด นายธนกรกล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้สนธิกำลัง ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องคุมเข้มในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มาตรการเป็นที่ไว้วางใจว่าจะเกิดความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและประชาชน ตั้งแต่การขออนุญาตเปิดสถานบริการ สถานบันเทิงให้ถูกต้อง ตรวจเข้มข้นการพกพาอาวุธปืน สแกนยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายก่อนเข้าสถานบันเทิง ที่สำคัญตรวจเข้มไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่ากำหนด เข้าใช้สถานบันเทิง และการป้องกันอุบัติเหตุ เมาไม่ขับ หากมีมาตรการคุมเข้มดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถคลายข้อกังวลและสร้างความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน

“หากเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ไม่ละเลยปล่อยผ่าน สิ่งผิดกฎหมาย ผมมั่นใจว่าการที่รัฐบาล จะออกมาตรการขยายเวลาเปิดสถานบริการ สถานบันเทิงต่างๆ ถึงตี 4 และมาตรการ อื่นๆ ที่จะทยอยออกตามมานั้น จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้ช่วงส่งท้ายปี 2566 ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงไฮซีซั่นของไทย จะสร้างรายได้เข้าประเทศ ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจปรับขึ้นตามที่คาดหมายได้ เป็นอย่างดี” นายธนกรกล่าว

‘หนู’ระบุไม่ยืดเวลาขายเหล้า
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่คชศึกษา จ.สุรินทร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานพิธีกฐินช้าง โดยมีน.ส.ผกามาศ เจริญพันธุ์ สส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย เป็นเจ้าภาพจัดงาน

นายอนุทินกล่าวเปิดงานว่า วัตถุประสงค์ หลักของงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวมากขึ้น คนไทยและคนกัมพูชาเห็นช้างแล้วรู้สึกดีใจ เพราะช้างเปรียบเหมือน สัญลักษณ์ของประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ เป็นนักสู้และมีความอ่อนโยน มีทุกมิติภายในช้าง ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับเรา

ตอนนี้พวกเราต้องเตรียมตัวเข้าสู่ปีใหม่ ปีนี้เรามีทั้งรัฐบาลใหม่ และโอกาสใหม่ ที่จะเกิดขึ้นที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจชะงักไปเป็นเวลาหลายปี ทุกอย่างกำลังจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เป็นปกติที่ไทยมีความพร้อมในการ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว

“ขออย่างเดียวให้ทุกคนเคารพกฎหมาย เช่น เรากำลังเปิดให้ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง สถานบริการ แต่เราไม่ได้ขยายเวลาให้ดื่มสุรามากขึ้น แต่สามารถอยู่ในร้านอาหาร ได้พูดคุยกันมากขึ้น เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น สินค้าและบริการที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ จะขายได้มากขึ้น รวมถึงต้อนรับนักท่องเที่ยว ได้มากขึ้น ขออย่างเดียวอย่าให้มียาและ มีการอนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าสถานบริการ รวมถึงพกอาวุธเข้าสถานบริการ หากปฏิบัติได้ตามนี้ทางรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทยพร้อมจะส่งเสริมการประกอบสัมมาอาชีพอย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว

‘วิโรจน์’กระทุ้ง‘ปูอัด’รับผิด
จากกรณีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีมติขับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา หรือแจ้ สส.ปราจีนบุรี พ้นพรรค ส่วนนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ปูอัด สส.กทม. เขตจอมทอง-บางขุนเทียน-ท่าข้าม แค่คาดโทษ เนื่องจากคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เห็นว่าทั้ง 2 กรณีมีความผิดจริงเรื่องคุกคาม ทางเพศ ซึ่งนายวุฒิพงศ์ ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วันเพื่อรักษาสถานภาพสส.

ต่อมานายไชยามพวานออกมาแถลงขอโทษ แต่ยังไม่ยอมรับผิด ทำให้นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ เฟซบุ๊กว่า นายไชยามพวานไร้สำนึกยอมรับผิด ซ้ำเติมผู้เสียหาย เตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อพิจารณาการกระทำขัดมติพรรคหรือไม่ และนำเข้าที่ประชุมร่วมกก.บห.หกับสส.ของพรรค ซึ่งต้องได้รับเสียง 3 ใน 4 ของสส. และกก.บห.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในการขับออก

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชี รายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนเห็นตรงกับนายชัยธวัช แต่ก่อนจะเรียกประชุมร่วมระหว่างกก.บหกับสส.ของพรรคเพื่อลงมติเรื่องนี้ ต้องประชุมกก.บห.แล้วเสร็จก่อน ส่วนจะมีการเรียกประชุมกก.บห.เมื่อใด ตนไม่ทราบเนื่องจากตนไม่ได้เป็นกก.บห.

ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนตัวยังยืนยันว่าต้องการให้นายไชยามพวานลาออกใช่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า คิดว่าการเรียกร้องให้ลาออกคือแม้ว่าเสียงลงมติคราวที่แล้วจะไม่ถึง แต่สัดส่วน 106 ท่านที่เห็นว่าควรขับออก จาก 128 ท่าน เป็นน้ำหนักที่มากพอที่นายไชยามพวานจะนำไปไตร่ตรอง ได้ว่า สายตาอย่างน้อยๆ 106 คู่มีการตัดสินใจ ว่าสิ่งที่นายไชยามพวานทำเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศ ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาจะต้องตัดสินใจ

เมื่อถามถึงกรณีที่นายวุฒิพงศ์เปิดใจ ผิดหวังมติพรรค อีกทั้งมีการกล่าวถึง เส้นสายและการเมืองภายในพรรคว่า นายวิโรจน์กล่าวว่า “มีมูลอะไรที่ทำให้เชื่อว่า จริง นอกจากคำพูดของนายวุฒิพงศ์ หากไม่มี แสดงว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่สะท้อนว่าพรรคก้าวไกลมีเส้นสายนอกจากการ กล่าวหาของนายวุฒิพงศ์ ดังนั้น เป็นแค่การกล่าวหา และใครจะกล่าวหาอะไรก็ได้”

‘พี่ศรี’ร้องปปช.ฟันจริยธรรม
นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่พรรคก้าวไกล ได้ประชุม สส.ร่วมกับกรรมการบริหารพรรคเพื่อสรุปบทลงโทษ สส.ของพรรค ที่ถูกกล่าวหาว่าคุกคาม และล่วงละเมิดทางเพศ 2 กรณี เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่รัฐสภานั้น ผลการประชุมหัวหน้าพรรคระบุว่า ทั้ง 2 กรณี สส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศจริง ขัดต่อวินัยพรรคขั้นร้ายแรง จึงมีมติขับ สส. ปราจีนบุรี ออกจากสมาชิกพรรค ส่วนสส. ฝั่งธนบุรีให้ตัดสิทธิ์พึงมีทั้งหมด และ คาดโทษไปตลอดสมัยประชุมนี้ หากมีพฤติกรรมใดๆ เข้าข่ายคุกคามจะต้องให้พ้นจากสมาชิกพรรค เพื่อให้มีการยอมรับผิดและขอโทษจากการกระทำ หากยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด ไม่ยินดีขอโทษ หรือชดใช้เยียวยาความผิด ที่ประชุมร่วมจะมีมติกันใหม่ เพื่อมีมติขับออกจากสมาชิกพรรค

มติของพรรคก้าวไกลทั้ง 2 กรณีเป็นหลักฐานยืนยันว่า 2 สส.ที่ถูกกล่าวหา มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศจริง ดังนั้น องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จะไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันที่ 6 พ.ย. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน หากวินิจฉัยว่าฝ่าฝืนจักได้ส่งให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา เพื่อเพิกถอนตำแหน่ง สส.และตัดสิทธิ์ทางการเมืองตามครรลองของกฎหมายต่อไป

‘เรืองไกร’ยื่นกกต.ฟันรมต.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินกระบวนพิจารณาและรวบรวมพยาน หลักฐานมาแล้ว จำนวน 48 ครั้ง เห็นควรไต่สวนพยานบุคคลต่อไป จึงกำหนดวันนัด ไต่สวนพยานบุคคล จำนวน 4 ปาก ในวันที่ 14 ธ.ค.2566 ถึงความเป็นรัฐมนตรีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบ มาตรา 187 หรือไม่ ในกรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ยื่นต่อส่วนราชการ ต่างๆ ของรัฐมนตรีหลายรายในรัฐบาลเศรษฐา พบว่า ตอนนี้มีรัฐมนตรีรายหนึ่ง ที่มีหลักฐานเพียงพออันควรไปร้องขอ ให้กกต. ตรวจสอบในลักษณะที่คล้ายกันกับของนายศักดิ์สยาม

ดังนั้น ตนจะไปยื่นหนังสือด้วยตนเองในวันที่ 6 พ.ย. เพื่อขอให้ กกต.รีบดำเนินการ ตรวจสอบรัฐมนตรีรายนี้ ว่ายังคงไว้ซึ่งความ เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วน จำกัด เกินร้อยละ 5 หรือไม่ หากยังคงไว้จะเป็นเหตุให้ ความ เป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ รวมทั้งขอให้ กกต.รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพร้อมทั้งมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้รัฐมนตรีรายนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย

รัฐบาลเข้มแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม2.5
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองและปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างมาก รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเตรียมการรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในทุกมิติเป็นการเร่งด่วน โดยจัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ช่วงเวลา 08.30 น. ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์ของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)

น.ส.เกณิกากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีมติเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ปี 2567 แบบมุ่งเป้า โดยระบุพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่เกษตรที่ไฟไหม้ซ้ำซาก สร้างกลไกขับเคลื่อนภาคเอกชนร่วมลงทุนในการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละออง เพื่อเป็นกลไกการบริหารจัดการทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ ยกระดับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งการเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และหมอกควันข้ามแดน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ปัญหาหมอกควันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

“ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ พล.ต.อ.พัชรวาท จะลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประชุมมอบนโยบายเตรียมการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2567 ซึ่งจะมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อควบคุมเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติลงสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ใน 17 จังหวัดภาคเหนือให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นได้ทั้งทางเฟซบุ๊กไลฟ์ และสายด่วนกรมควบคุมมลพิษ 1650” น.ส.เกณิกากล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน