จากความเดือดร้อนของชาวบ้านรากหญ้า ผู้ประกอบการรายย่อย ตอนนี้นักธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศส่งเสียงดังขึ้นมากถึงรัฐบาล ว่าประเทศไทยต้องจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างจริงจัง คือทั่วถึงและรวดเร็ว

การที่รัฐบาลยอมรับว่าเดิมจัดหาวัคซีนไม่มากเพราะไทยคุมการระบาดได้ ยิ่งบ่งบอกว่าการตัดสินใจพลาดไปแล้ว

ต่อให้สถานการณ์ระบาดระลอกที่สามไม่ลุกลาม ขนาดนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องกระจายการฉีดวัคซีนในวงกว้าง เพราะปัจจัยนี้คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ

เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจ การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางออกหลัก

อีกทั้งยังเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อภาคสาธารณสุข

การจัดหาวัคซีนไม่ใช่เรื่องแก่งแย่งแข่งขัน แต่เป็นการใช้ความสามารถบริหารจัดการและวางแผนเชื่อมโยงทั้งเรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจ

กรณีต้องติดต่อกับบริษัทหรือรัฐบาลต่างประเทศ ต้องใช้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ โดยระดมความร่วมมือจากภาคเอกชน

รัฐบาลต้องรับความจริง รับสภาพ และรับฟัง ด้วยความพยายามแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

เช่น ข้อเสนอเมื่อเร็วๆ นี้จากผู้บริหารระดับสูงจาก 40 บริษัทชั้นนำของประเทศที่เอกชนจะเข้ามาเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อฉีดวัคซีน

แบ่งเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับการฉีดทั้งหมด 100% ภายในสิ้นเดือนมิ.ย. และให้ประชาชนทั่วไปได้อย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน

ปัจจุบันการจัดหาและฉีดวัคซีนที่ยังไม่ถึง 1% ของประชากร เป็นสถิติที่ชัดเจนว่า จะส่งผลต่อการเปิดประเทศให้ล่าช้าออกไปโดย ไม่จำเป็น

อีกทั้งจะเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ที่ไม่อาจใช้เงินจำนวนมหาศาลมาเยียวยาและฟื้นฟูได้

ขณะนี้ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกค่อยๆ เข้าสู่การฟื้นฟู ตามการประเมินขององค์การ การค้าโลกว่าปีนี้การค้าโลกปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 8% และสัญญาณการส่งออกของไทยเริ่มดีขึ้น อาจเติบโตได้ถึง 4-6%

การส่งออกขาเดียวไม่อาจช่วยพยุงประเทศ ให้ลุกขึ้นได้ ต้องอาศัยการท่องเที่ยวและการบริการ พยุงขึ้นมาอีกขาหนึ่ง

ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ไขเรื่องวัคซีน จะตัดสินใจพลาดแบบเดิมอีกไม่ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน