โจวเอินไหล เหมาเจ๋อต๋ง ลุกขึ้นสู้(97) – หนังสือ “กองทัพแดง” กล่าวต่อไปว่า หลังจากเจียงไคเช็กและวังจิงไวกบฏทรยศ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเลวร้ายลงอย่างฉับพลัน การปฏิวัติใหญ่ต้องล้มเหลวลงกลางคัน

ภาคใต้เดิมมีพลังชีวิตคึกคักตกอยู่ในท่ามกลางกลิ่นคาวหยาดเลือด

พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เยาว์วัยได้รับการทดสอบเข้มงวดอย่างไม่เคยประสบมาก่อนหลังจากได้ก่อตั้ง สมาชิกพรรคจำนวนไม่น้อยขาดการติดต่อกับองค์กรจัดตั้ง

บางคนที่ไม่มั่นคงในพรรคและสันนิบาตทยอยออกต่างหาก

บางคนประกาศในหนังสือพิมพ์ออกต่างหากจากพรรคอย่างเปิดเผย สารภาพผิดต่อศัตรู บางคนได้นำศัตรูค้นหาและจับกุมชาวพรรคคอมมิวนิสต์ จำนวนสมาชิกเกือบ 60,000 ในระยะกระแสสูง

ลดลงเหลือ 10,000 กว่าคนอย่างรวดเร็ว

ความคิดในพรรคสับสนยุ่งเหยิงอย่างยิ่งชั่วระยะหนึ่ง สมาคมกรรมกรและสมาคมสงเคราะห์ชาวนาซึ่งเคยคึกคักถูกสั่งห้ามหรือล้มเลิก ส่งผลให้ขบวนเคลื่อนไหวกรรมกรชาวนา

เข้าสู่สภาวะท้อแท้ภายใต้ความสยดสยองของภัยขาว

ฝ่ายเป็นกลางซึ่งมีจำนวนมากมายในทางการเมืองมักจะคลอนแคลนไม่มั่นคง ขณะที่สถานการณ์ปฏิวัติขยายตัวแสดงแนวโน้มว่าจะชนะ จำนวนมากมักจะเอนเอียงไปทางซ้าย

หากสถานการณ์ถูกขัดขวาง ตกต่ำ ก็มักจะเอนเอียงไปทางขวา

แม้ในช่วงนี้จะยังมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกพรรคคอมมิวนิสต์และบุคคลผู้มีความซื่อตรงบางคนยืนหยัดในจุดมั่นปฏิวัติ ไม่ยอมร่วมกับพรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ก วังจิงไว

แต่ฝ่ายเป็นกลางจำนวนมากพอสมควรถูกฉุดดึงให้ห่างไปจากพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาบ้างก็ถูกการสังหารอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดขู่ขวัญจนเกิดความตกตะลึง พรึงเพริด จึงมีแนวโน้มไปในทางท้อแท้ หรือไม่ก็เพราะประวัติการต่อสู้ในอดีตของพรรคก๊กมินตั๋งและยังชูธงซุนยัตเซ็น

จึงเฝ้าปรารถนาและรอคอยพรรคก๊กมินตั๋งอย่างไม่สอดรับกับความเป็นจริง

ความจริงได้พิสูจน์ว่า การปฏิวัติจีนกำลังก้าวเข้าสู่กระแสต่ำ พลังต่อต้านการปฏิวัติได้ล้ำหน้ากว่าพลังปฏิวัติภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นอย่างมาก

พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายของการถูกสลายและทำลาย

ด้ านหนึ่ง พรรคคอมมิวนิสต์มีผู้ที่ยังยืนหยัดต่อสู้ดังคำกล่าวในอีก 10 ปีต่อมาของเหมาที่ว่า “พรรคและประชาชนไม่หวาดกลัวต่อการขู่ขวัญ ปราบปราม สังหาร พวกเขาลุกขึ้นมาเช็ดเลือด ฝังศพของสหาย จากนั้นก็สู้รบต่อไป”

ด้านหนึ่ง นักปฏิวัติที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ภายนอกพรรคได้เข้าร่วมกับขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ในห้วงที่กระแสการปฏิวัติตกต่ำเป็นจำนวนมากมาย อาทิ เผิงเต๋อหวาย เฮ่อหลง ฉือเท่อลี่ เป็นต้น

มวลชนกรรมกรชาวนาจำนวนมากมายรวมตัวกันลุกขึ้นดำเนินการต่อสู้อีกวาระหนึ่งภายใต้ร่มธงของพรรค ขณะที่พวกปฏิกิริยาเอาศีรษะของกวอเหลียงแขวนประจานหน้าประตูเมืองฉางซา

หลู่ซิ่น มิตรแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่า

“เรื่องการปฏิวัติถูกแขวนคอมีน้อยมาก มิใช่เป็นเพราะความมืดมน หากเป็นเพราะไม่มีทางออกหรอกหรือ ดังนั้น จึงต้องปฏิวัติ”

นั่นคือประกายไฟที่จุดขึ้นในท่ามกลางความมืดใน

ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ที่หนานซางซึ่งนำโดยโจวเอินไหลเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ในห้วงแห่งการเก็บเกี่ยวในมณฑลหูหนาน เจียงซี ที่นำโดยเหมาเจ๋อตงเมื่อวันที่ 12 กันยายน

ล้วนเป็น “บทเรียน” อันทรงความหมาย

การลุกขึ้นสู้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปิดฉากยิงพวกปฏิกิริยาก๊กมินตั๋งเป็นกระสุนนัดแรก

เป็นที่มาแห่งกองทัพปลดแอกภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์

เช่นเดียวกับการลุกขึ้นสู้เมื่อวันที่ 12 กันยายน เป็นการประสานกองทหารเข้ากับกองกำลังติดอาวุธของกรรมกรและชาวนาอย่างเป็นรูปการณ์

แม้ทั้ง 2 การลุกขึ้นสู้จะประสบความพ่ายแพ้ แต่ก็เป็นบาทก้าวสำคัญในทางการเมือง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน