จดหมาย เดือนกุมภาพันธ์ ศูนย์กลาง(47) – จากความเห็นของ บุญศักดิ์ แสงระวี กองทัพแดงในวัยเยาว์ดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมการจรยุทธ์ในชนบทที่มีความกระจัดกระจายค่อนข้างสูง
ส่วนประกอบเป็นชาวนาและทหารที่แปรพักตร์ หรือเป็นเชลยจากกองทหารเก่า
สิ่งที่ล้าหลังและไม่เป็นคุณจากสังคมศักดินายังคงมีอยู่ในตัวทั้งนายและพลทหารอย่างหนาแน่นพอสมควร กองทัพแดงที่ 4 เมื่อลงจากเขาจิ่งกังซานมาที่ราบแล้ว
ก็ต้องต่อสู้และวุ่นอยู่กับการขยายเขตฐานที่มั่นมาโดยตลอด
เวลาที่ใช้เพื่อศึกษาการเมืองก็น้อยลงไป ฉะนั้น พร้อมๆ กับชัยชนะในสงครามต่อต้านการล้อมปราบ ทัศนะเอาแต่การทหาร ความคิดลัทธิเสือจร เศษเดนลัทธิขุนศึก ประชาธิปไตยเฟ้อ
ซึ่งเป็นความคิดที่มิใช่ของชนชั้นกรรมาชีพก็ค่อยๆ แพร่หลายเติบใหญ่ออกไป
รวมความว่าในองคาพยพของกองทัพแดงมีเชื้อไวรัสอยู่เป็นอันมาก และออกจะเป็นเรื่องบังเอิญ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1929 ศูนย์กลางพรรคส่งจดหมายลับผ่านหน่วยสื่อสารลับในเซี่ยงไฮ้มา
ขนานนามในประวัติศาสตร์ว่า “จดหมายเดือนกุมภาพันธ์”
จดหมายฉบับนี้ชี้แนะให้กองทัพแดงที่ 4 “กระจายกองกำลังของกองทัพแดงเป็นหน่วยเล็กๆ แยกกันไปอยู่ในชนบทต่างๆ ของเขตแดนต่อแดนหูหนาน-เจียงซี
ดำเนินการปฏิวัติที่ดินอย่างซึมลึก”
คำสั่งที่มาจากเซี่ยงไฮ้มิได้เริ่มต้นจากความเป็นจริง ตามความจัดเจน ในการปฏิบัติการต่อสู้มายาวนานของเหมา การกระจายกำลังทหารออกไปเช่นนี้ไม่เหมาะสม
มีความเป็นไปได้ที่จะถูกข้าศึกตีให้แตกไปทีละส่วน
อีกทั้งการกระจายเช่นนี้ก็ไม่เป็นผลดีแก่การจัดตั้งการศึกษา ทั้งไม่เป็นผลดีแก่การรวมกำลังทำลายข้าศึก ยิ่งกว่านั้น คำสั่งยังระบุให้เหมากับจูเต๋อออกจากกองทัพ
เพื่อลดการตกเป็นเป้าใหญ่ของกองทัพแดง
ในความเห็นของ บุญศักดิ์ แสงระวี ระบุว่า การที่ศูนย์กลางพรรคมีมติที่ห่างเหินจากความเป็นจริงเช่นนี้มีต้นตอมาจากคอมมิวนิสต์สากล
ซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าของการสู้รบไกลลิบ
นั่นก็คือ นิโคไล บุคฮาริน “สั่งสอน”การปฏิวัติประเทศจีนในองค์กรคอมมิวนิสต์สากลว่า “ไม่ควรจะรวมศูนย์มวลชนที่ไม่ทำการผลิตมากมาย
กองทัพแดงอยู่ในอาณาเขตของชาวนาแต่เพียงเขตเดียว
ผลก็คือ “กองทัพแดงก็จะเหมือนหญิงอ้วน ท้องพลุ้ยนั่งอยู่กับที่ กินเอากินเอาจนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อถึงเวลานั้นชาวนาก็จะลุกขึ้นมาต่อต้านกองทัพแดง”
แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า
บุคฮารินก็มีความเห็นที่ “สูงส่ง”อีกโดย “ให้กระจายออกไปอยู่ตามที่ต่างๆ เมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้วก็เคลื่อนย้ายไปอีกที่หนึ่ง ไปถึงที่นั่นก็ฆ่าพวกเจ้าพ่อ จอมอิทธิพลคนเลว
กินข้าวสักมื้อหนึ่ง ดื่มซุปสักชามหนึ่ง
แล้วก็เคลื่อนย้ายไปอีก กินดื่มแบบเดิม สักระยะหนึ่งก็ไปต่อไป ทำอย่างเดิมต่อไป” เมื่อเห็นคำชี้แนะเช่นนี้ สหายส่วนหนึ่งก็ถูกเรื่องกินไป ดื่มไป ทำเอาเคลิบเคลิ้มไปเหมือนกัน
นี่ย่อมเป็นผลสะเทือนอันมาจาก “ศูนย์กลาง” และ “คอมมิวนิสต์สากล”
สหายส่วนหนึ่งในกองทัพแดงที่ 4 แต่เดิมก็มีความโน้มเอียงทัศนะเอาแต่การทหารอยู่แล้ว เห็นว่าทหารควรจะรบเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องรับภาระหน้าที่ใหญ่ 3 ประการที่เหมามอบหมายให้
ไม่อดทนที่จะไปทำงานปลุกความตื่นตัวของมวลชนอันยากลำบาก
คิดแต่จะเข้าเมืองใหญ่ไปกินไปดื่ม หัวราน้ำให้สำราญ ความคิดและท่วงทำนองกองทหารแบบเก่าของคนส่วนนี้ค่อนข้างจะหนักหน่วง
พวกเขาไม่ชอบระบอบ “ผู้แทนพรรค” ที่สุด
ด่าผู้แทนพรรคว่า “คนขายกอเอี๊ยะหนังหมา” ขณะเดียวกัน ต่อชีวิตในค่ายทหารที่ห้ามโน่น ห้ามนี่ เคร่งครัดเหมือนกับเป็นศาสนาอันเหมาเสนอไว้
พวกเขาล้วนรู้สึกรับไม่ได้และคล้อยตามคำชี้แนะจาก “ศูนย์กลาง”