กระแสการขับเคลื่อนประเทศทั่วโลกไปสู่การเป็นเศรษฐกิจและสังคม คาร์บอนต่ำเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นับเป็นจุดเปลี่ยนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย สู่ “เศรษฐกิจใหม่” (New Economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิด สร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของระบบเศรษฐกิจ

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน (บีโอไอ) ประกาศมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้วันที่ 3 ม.ค. 2566 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ด้วยการกำหนด 7 หมุดหมายแห่งอนาคต

1.ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความโดดเด่น ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยมีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งของซัพพลาย เชน 2.เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม

3.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ และประตูการค้า การลงทุนของภูมิภาค 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบการ รายใหม่ (สตาร์ตอัพ) ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อกับโลก เพื่อให้มาตรการและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเชื่อมโยงไปถึงทุกขนาด ธุรกิจ

5.ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่ โดยใช้ต้นแบบพื้นที่เขตพัฒนา พิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในการขยายไปยังระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค รวมทั้งเมืองรอง ชายแดน และจังหวัด ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ

6.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม 7.ส่งเสริม ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ

ในโลกยุคใหม่ที่มีความท้าทาย ความผันผวน และมีการแข่งขันสูง บีโอไอ จะเป็นองค์กรที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และพร้อมร่วมมือ กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่มีคุณค่า เพื่อนำประเทศไทย ไปสู่ “เศรษฐกิจใหม่” ที่ขับเคลื่อน ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และแข่งขันได้บนเวทีโลก” นายนฤตม์กล่าว

จากยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี บีโอไอได้จัดทำมาตรการ ส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ 9 มาตรการ เชื่อมโยงกับ 7 หมุดหมาย ประกอบด้วย

1.มาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยปรับเพิ่มบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่จาก 7 เป็น 10 หมวด เช่น กิจการเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานประเภทใหม่ๆ เช่น ไฮไดรเจน กิจการอาหารแห่งอนาคต และกิจการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอวกาศ เป็นต้น

กิจการกลุ่มนี้ได้สิทธิประโยชน์พื้นฐาน แบ่งเป็นกลุ่ม A (ยกเว้นภาษีเงินได้ 3-13 ปี) และกลุ่ม B (ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้) และเพิ่มกลุ่ม A1+ (อุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย โดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับสถาบันการศึกษา/วิจัย)

2.มาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับเปลี่ยนจากมาตรการ Merit-based เดิม โดยกำหนด สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา ออกแบบ พัฒนาบุคลากรและผู้ผลิตในประเทศ เป็นต้น กำหนดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 200% ของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่าย

3.มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม เป็นมาตรการใหม่ที่กระตุ้นให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนในไทย ยังคงใช้ไทยเป็นฐาน ผลิตและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเป็นผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนเดิมที่มีโครงการลงทุนใน 15 ปีที่ผ่านมา (ปี 2551-2565) ไม่น้อยกว่า 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท

หากมีการยื่นคำขอขยายโครงการลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2566 จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติมอีก 3 ปี หรือลดหย่อนภาษีเงินได้ 50% เป็นระยะเวลา 5 ปี แล้วแต่ประเภทกิจการ

4.มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร เป็นมาตรการใหม่ที่กำหนดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม กระตุ้นให้เกิดการย้ายฐานธุรกิจทั้งโรงงานผลิต สำนักงานภูมิภาค และศูนย์วิจัย และพัฒนา ซึ่งถ้ามาครบทั้ง 3 ส่วน จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กิจการผลิตเพิ่มเติม 5 ปี กำหนดการ ยื่นคำขอภายในปี 2566

5.มาตรการกระตุ้นการลงทุนในระยะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนจากมาตรการกระตุ้นการลงทุนเดิม โดยกำหนด สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม กระตุ้นการลงทุนจริงของโครงการ ขนาดใหญ่ในช่วงปี 2566-2567 ที่ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือน จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้ 50% ระยะเวลา 5 ปี

6.มาตรการยกระดับอุตสาหกรรม ปรับเปลี่ยนจากมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเดิม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ใช้ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องจักรประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทนไปสู่มาตรฐาน ในระดับสากล โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี สำหรับรายได้ของกิจการที่ดำเนินอยู่เดิมในสัดส่วน 50% หรือ 100% ของเงินลงทุน

7.มาตรการส่งเสริมการลงทุนเอสเอ็มอี ปรับเปลี่ยนจากมาตรการเดิม โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและกำหนดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อเป็นแต้มต่อให้กับเอสเอ็มอี โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินนิติบุคคล 3-8 ปี แล้วแต่ประเภทกิจการ พร้อมเพิ่ม วงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 200% ของเงินลงทุน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ตามมาตรการอื่นได้

8.มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย ปรับเปลี่ยน จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เป้าหมายเดิม และเพิ่มพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและตะวันตก ภาคตะวันออก หากมีการลงทุนพัฒนาบุคลากรและการวิจัยและพัฒนา และเป็นกิจการเป้าหมายในกลุ่ม A1+ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติม 2 ปี ส่วนกลุ่มที่ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปีอยู่แล้ว จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ 50% เพิ่มอีก 3 ปี

9.มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ปรับเปลี่ยนจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากเดิม โดยเพิ่มวงเงินลงทุนที่จะลงไปสู่ชุมชน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ทั้งผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ หรือไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน แต่อยู่ในกิจการที่ให้การส่งเสริมสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้ได้

โดยมีเงื่อนไขจะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ในการเข้าไปสนับสนุนโครงการชุมชน การพัฒนาระบบเกษตรและน้ำ ผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวชุมชน และเพิ่มเรื่องการศึกษา สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ให้แก่สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานของรัฐ รายละไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท จะได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 200 ของเงินสนับสนุน

ทั้ง 9 มาตรการ ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการรายเดิม รายใหม่ รวมถึงเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่

หัวใจสำคัญคือ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดูแลสังคมและ สิ่งแวดล้อม

เป็น “เศรษฐกิจใหม่” นำประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น “ศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค” อย่างยั่งยืน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน