หนทาง ทางเลือก ของ ชวน ประชาธิปัตย์ “ผมพอแล้ว” : วิเคราะห์การเมือง
หนทาง ทางเลือก ของ ชวน ประชาธิปัตย์ “ผมพอแล้ว” – คําปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าพรรคจาก นายชวน หลีกภัย ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมอีกคำรบหนึ่ง ในทางการเมือง
หลังจากตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.เมื่อปี 2512
จะแตกต่างกันก็เพียงแต่การตัดสินใจเมื่อปี 2512 เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งความหวังและความมุ่งมั่นทางการเมือง
แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 จะกีดกันบทบาทของส.ส.ก็ตาม
ขณะที่การตัดสินใจไม่ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นการตัดสินใจในแบบคนมีความสุกในทางความคิด ในทางปัญญา อย่างยิ่งยวด
คําปฏิเสธของ นายชวน หลีกภัย ต่อตำแหน่งหัวหน้าพรรคดำเนินไปในร่องรอยเดียวกับการปฏิเสธต่อตำแหน่งนายก รัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
เพราะว่า นายชวน หลีกภัย เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาแล้ว
Advertisement
เพราะว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2523 และเมื่อล่วงมาถึงเดือนสิงหาคม 2531 เป็นเวลายาวนานกว่า 8 ปี
จึงได้เปล่งคำว่า “ผมพอแล้ว” ออกมา
นับแต่นั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็อยู่ในฐานะอันสูงเด่นในทางการเมือง และเชื่อกันว่านับแต่นี้เป็นต้นไป นายชวน หลีกภัย ก็จะอยู่ในฐานะอัน สูงเด่นทางการเมือง
บทสรุปไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ว่าจะมาจาก นายชวน หลีกภัย ล้วนเป็นบทสรุปจากการตกผลึกในทางความคิด
เห็นความสมควรในการหยุด เห็นถึงความพอดี
นั่นก็เพราะเคยอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาแล้ว และเห็นว่าตำแหน่งนี้ควรอยู่ในความรับผิดชอบของคนอื่นที่เหมาะสมมากกว่า
นี่คือความสุกในทางความคิด นี่คือความสุกในทางปัญญา
กล่าวสำหรับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็เท่ากับเปิดทางให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กล่าวสำหรับ นายชวน หลีกภัย ก็เท่ากับเปิดทางให้ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน
ไม่ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ว่า นายชวน หลีกภัย เมื่อก้าวเดินไปบนเส้นทางในทางการเมืองบรรลุถึงเป้าหมายหนึ่งก็มองเห็นความ จริงหรือสัจธรรม
ความเป็นจริงภายใต้กฎแห่ง “อนิจจัง”
ไม่มีใครดำรงอยู่ ณ จุดเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นไปจากกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงแท้