คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
จึงมีเสียงเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยปรับตัวในทางการเมือง
คำตอบที่ตรงที่สุดก็คือ ต้องการให้พรรคเพื่อไทยดำรงอยู่ในสถานะอันเป็น “ผู้นำ” ที่มีประสิทธิภาพและทรงพลานุภาพในทางการเมือง
เหมือนพรรคไทยรักไทย เหมือนพรรคพลังประชาชน
ความเรียกร้องต้องการเช่นนี้มิได้มีพื้นฐานใน เชิงเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่น หากแต่เป็นความเรียกร้องชอย่างมีความหวัง มีความเชื่อมั่น
ต้องการให้สำแดงบทบาท “นำ” ในการเป็น ฝ่ายค้าน
สภาพการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเรียกร้องให้พรรคการเมืองต้องปรับตัว
อย่างน้อยที่สุดการปรากฏขึ้นของ “เยาวชนปลดแอก” เท่ากับเป็นเงาสะท้อนและเป็นสัญญาณเตือนไปยังแต่ละพรรคการเมืองฝ่ายค้านโดยตรง
คำถามก็คือ เหตุใดนักเรียน นิสิตนักศึกษา จึงต้องออกโรง
หากว่าแต่ละพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคก้าวไกล ไม่ว่าพรรคเสรีรวมไทย ไม่ว่าพรรคประชาชาติ ไม่ว่าพรรคเพื่อชาติ ไม่ว่าพรรคพลังปวงชนไทย แสดงบทบาทอย่างมีกัมมันตะ
ก็ไม่จำเป็นที่ “เยาวชน” จะต้องออกมา “ปลดแอก”
การปรับตัวของพรรคเพื่อไทยจึงมีนัยะมีความหมายในทางการเมือง
จะปรับตัวให้มีคุณภาพเหมือนกับพรรคไทยรักไทย เหมือนกับพรรคพลังประชาชนในกาลอดีตก็อาจจะไม่เหมาะสมเสียแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน
สถานการณ์การ “ดิสรัปต์” ในทุกพื้นที่ทางสังคม
สถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นบทบาทของ “เทคโน โลยี” สถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นบทบาทของ “คนรุ่นใหม่” ที่จะต้องเข้ามาขับเคลื่อนการเมือง “ใหม่” ให้เติบใหญ่ พัฒนา
นี่คือโจทย์ที่ทุกพรรคการเมืองต้องขบคิดหาทางออก
เพียงแต่ ณ ปัจจุบัน สังคมเรียกร้องต่อบทบาทพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างสูง
จึงไม่เพียงแต่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จะต้องล้างหูน้อมรับฟังในฐานะหัวหน้าพรรค จึงไม่เพียงแต่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง จะต้องล้างหูน้อมรับฟังในฐานะเลขาธิการพรรค
หากทุกภาคส่วนในพรรคเพื่อไทยก็ต้องล้างหูน้อมรับฟัง