แม้จะมีคำว่า “คนหน้าเดิม” ต่อการเคลื่อนไหวเพื่อถอดถอนกกต.ในกรณีบกพร่องในการบริหารจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม
แต่หากสังเกตรายละเอียด 2 ฐานข้อมูล
1 สารจากนายกรัฐมนตรี 1 คำแถลงยาวเหยียด รุนแรงจากผบ.ทบ.
ก็จะสัมผัสได้ในความห่วงใยอันถือได้ว่าเป็น”ข้อมูลใหม่”
นั่นก็คือ ข้อเรียกร้องไปยังผู้ปกครอง ข้อเรียกร้องไปยังครูบาอาจารย์ นั่นก็คือการเน้นหลายครั้งหลายหนของผบ.ทบ.ไปยังนิสิตและนักศึกษา
สะท้อนให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีและผบ.ทบ.จับเบาะแสใหม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวหลังวันที่ 24 มีนาคมไม่เหมือนเดิม
นั่นก็คือ มีหวอดแห่งนิสิตนักศึกษาและคนรุ่นใหม่
เพียงสารจากนายกรัฐมนตรียังไม่บอกได้แจ่มชัดว่าร่องรอยนี้มีแค่ไหนและอย่างไร และแถลงจากผบ.ทบ.ระบุอย่างเด่นชัดว่าจุดเริ่มต้นและดำรงอยู่คือ โซเชียลมีเดีย
“กองทัพยอมรับว่ามีจุดอ่อนเรื่องการใช้โซเชียล”
ขณะเดียวกัน ก็ระบุด้วยว่า “รัฐบาลและกองทัพอาจทำงานและสื่อสารคนละภาษากับที่อยากฟัง”
บทสรุปเช่นนี้เหมือนกับจะยอมรับในช่องว่างระหว่างวัย
กระนั้น ภายในการยอมรับนี้ไม่ว่าสารจากนายกรัฐมนตรีหรือแถลงยาวเหยียดของผบ.ทบ.ก็ดำรงอยู่ตามสภาพความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
กล่าวคือ 1 เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้อาวุโส 1 เมื่อเป็นผู้อาวุโส เป็นผู้ใหญ่ย่อมดำรงอยู่อย่างเป็นผู้รู้มากกว่า
การสื่อสารอันตามมาก็คือ การสั่งสอน ประสิทธิ์ประสาท
ตรงนี้แหละคือจุดแห่งความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสื่อ เพราะดำเนินไปในแบบผู้ให้กับผู้รับ
แทนที่จะถม”ช่องว่าง” กลับยิ่งให้”ถ่างห่าง”ออกไป
ต้องยอมรับว่าสารจากนายกรัฐมนตรีเปี่ยมด้วยความหวังดี ต้องยอมรับว่าแถลงยาวเหยียดจากผบ.ทบ.มากด้วยความห่วงหาอาทร
แต่ก็อย่างที่ระบุว่า “รัฐบาลและกองทัพอาจทำงานและสื่อ สารคนละภาษากับที่อยากฟัง”
นั่นแหละคือหัวใจ นั่นแหละคือประเด็นของการสื่อสาร