หากถือเอาจำนวน 250 ส.ว.เป็นบรรทัดฐาน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นของผู้ใดไปไม่ได้นอกเสียจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเพียงหา 126 ส.ส.มาได้
ทุกอย่างก็เรียบร้อย
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพรรคพลังประชารัฐ 116 เมื่อรวมกับพรรค รวมพลังประชาชาติไทย 5 ก็ได้ 121 ถึงจะเอาพรรคพลังท้องถิ่นไท 3 พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 ก็ได้เพียง 126
จำเป็นต้องได้พรรคประชาธิปัตย์ 52 พรรคภูมิใจไทย 51 พรรคชาติไทยพัฒนา 10 พรรคชาติพัฒนา 3 จึงจะเกิดความมั่นใจ
แต่ประเด็นอยู่ที่พรรคเหล่านี้ก็มิใช่ว่าจะเป็นหมูในอวย หากมากด้วยเงื่อนไข
ไม่เพียงแต่จะเป็นเงื่อนไขอย่างที่พรรคภูมิใจไทยประกาศว่า จะต้องยกระดับนโยบายกัญชาให้เป็น”วาระแห่งชาติ” หรือที่พรรคประชาธิปัตย์เล็งไปยังกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ
หากแต่อยู่ที่ว่าคสช.และพรรคพลังประชารัฐยินดีจะสละกระทรวงอะไรให้
เพราะทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับ “โควต้า ซิสเต็ม”
Advertisement
แม้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะเล็งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะเล็งกระทรวงคมนาคม แต่ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จะยินยอมละหรือ
แม้คสช.โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะชมชอบกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างสูง แต่พรรคภูมิใจไทยจะยินยอมให้อย่างง่ายดายละหรือ
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทยก็มีคำประกาศก่อนการเลือกตั้งเรียกร้องให้เคารพ 500 ส.ส.มากกว่า 250 ส.ว.
ทุกอย่างจึงต้องรอวันที่ 9 พฤษภาคม สถานเดียว
ความเงียบเชียบของพรรคพลังประชารัฐขณะนี้เหมือนกับกำลังรอวันที่ 9 พฤษภาคม หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ยังไม่สามารถทะลายป้อมค่ายพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ลงได้
นั่นก็คือ ป้อมค่ายของพันธมิตรในแนวร่วมต้านคสช.
เมื่อทางด้านพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ สามารถตรึง 6 เสียงจากพรรคเศรษฐกิจใหม่เอาไว้ได้
นั่นเท่ากับ 2 ป้อมค่ายได้ประจันหน้าอย่างชนิดตาต่อตา