คดีบิลลี่เริ่มกระจ่าง
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
นายพอละจีหรือบิลลี่ รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย-โป่งลึก จ.เพชรบุรี หายสาบสูญไปหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัวไว้เมื่อปี 2557
ก่อนหน้านี้ มีบทบาทเคลื่อนไหวร่วมกับชาวชาติพันธุ์ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเตรียมฟ้องคดีต่อเจ้าหน้าที่ กรณีการเข้ารื้อเผาทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัวเมื่อปี 2554
คดีหายตัวไปของนายพอละจี มีการยื่นร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงยื่นให้คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวน จนเมื่อปี 2561 จึงส่งเรื่องคืนกลับมาให้ดำเนินการ
ทั้งนี้ ภรรยาและญาติเชื่อว่านายพอละจีถูกบังคับให้สูญหาย
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แต่งตั้งพนักงานสอบสวนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมถึงตัวแทนจากนอกภาครัฐ ลงพื้นที่สืบสวนอย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุดก็ได้หลักฐานสำคัญคือชิ้นส่วนกระดูกจำนวนหนึ่ง และวัตถุพยานถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรที่มีรอยเผาไหม้อย่างรุนแรงทิ้งไว้ในน้ำลึกใต้สะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน
ต่อมาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจพิสูจน์โดยละเอียดพบว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะมนุษย์ มีรอยไหม้ หดตัวจากการถูกเผาด้วยความร้อนสูง ตรวจพบสารพันธุกรรม ตรงกับแม่ของนายพอละจีที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกเท่านั้น
จึงสรุปว่าเป็นชิ้นส่วนกะโหลกของผู้สูญหายและเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม
เมื่อกระบวนการสืบสวนสอบสวน ได้หลักฐานยืนยันชัดเจนแล้วว่านายพอละจี คดีผู้สูญหายก็กลายเป็นคดีฆาตกรรม อำพราง และซ่อนเร้นศพ ซึ่งจะต้องหาตัวผู้สั่งการ ผู้กระทำ และร่วมกระทำผิด มาดำเนินคดี
จะว่าไปแล้ว คดีนี้แทบจะไม่ซับซ้อนมากนัก เมื่อต้นเหตุชัดเจนแล้วว่าผู้ตายหายตัวไปในช่วงไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพียงแต่คดีไปต่อไม่ได้ เพราะยังไม่เจอศพและหลักฐานการเสียชีวิต
พฤติการณ์ของกลุ่มที่กระทำผิด จึงเข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ
คดีที่อยู่ในความมืดดำมา 5 ปี คงจะได้กระจ่างในเร็วๆ นี้